วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เหตุผลที่เชื่อว่ามีพระเจ้า


คริสเตียนไม่เคยเห็นพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์หรือสสาร เราไม่สามารถ ที่จะทดลองดูว่า พระเจ้ามีหรือไม่มี ด้วยการสัมผัส เพราะพระองค์ไม่ใช่วัตถุ การเห็นหรือไม่เห็น ไม่ใช่การพิสูจน์ว่ามีหรือไม่มี มีคนตา-บอดมากมาย ที่ไม่เคยมองเห็นพ่อแม่ของตน แต่เขาเชื่อว่าเขามีพ่อแม่ และอีกหลายๆ สิ่ง มีการมองเห็นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ เช่น แสง ระยะทาง ขนาด และการเคลื่อนไหว การที่เรามองไม่เห็นเชื้อโรค การที่เราไม่เห็นลูกปืน ที่วิ่งจากกระบอกปืน การที่เรามองไม่เห็น ดวงดาวบางดวง และการที่เรามองไม่เห็น บางสิ่งในความมืด นี่มิได้หมาย ความว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มี นี่เป็นแต่เพียง แสดงให้เห็นว่า ตามนุษย์มีขีดจำกัด แต่สิ่งเหล่านั้นมี และพระเจ้าก็มีด้วยทั้งๆ ที่เรามองไม่เห็น
  1. สิ่งมีชีวิตต้องมาจากสิ่งมีชีวิตเสมอไป
  2. มนุษย์ ต้องมาจากมนุษย์ด้วยกัน มนุษย์จะมาจากสิ่งไม่มีชีวิตไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น กลับไปเรื่อยๆ จนถึงมนุษย์คู่แรกในโลก ซึ่งต้องมีมนุษย์คู่แรกมาจากไหน? มาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตหรือ? ความเชื่อที่ว่าสิ่งมีชีวิตมาจากสิ่งไม่มีชีวิต ขัดต่อหลักวิทยาศาสตร์ ที่เรียกว่า กฎไบโอเจเนซิส ซึ่งว่าสิ่งมีชีวิต ต้องมาจากสิ่งมีชีวิตเสมอไป ประโยคไหนมีเหตุผล กว่ากัน สิ่งมีชีวิตมาจากสิ่งมีชีวิต หรือสิ่งมีชีวิตมาจากสิ่ง ไม่มีชีวิต อันไหนงมงายและใช้ ความเชื่ออย่างขาดเหตุผล
  3. ทุกสิ่งต้องมีผู้สร้าง
  4. ถ้า หากเราจะเปรียบเทียบหัวใจกับเครื่องสูบน้ำ ตากับกล้องถ่ายรูป เครื่องดนตรีกับหลอดเสียง เราจะพบว่าเครื่องสูบน้ำ กล้องถ่ายรูป และเครื่องดนตรี ก็ด้อยคุณภาพยิ่งกว่าหัวใจ ตาและหลอดเสียง ถ้าหากเราไม่เชื่อว่า เครื่องสูบน้ำ กล้องถ่ายรูป และเครื่องดนตรี ซึ่งด้อยกว่าเกิดขึ้นเองโดยไม่มีผู้สร้าง สิ่งที่ดีกว่าเหล่านี้เกิดขึ้นเองโดยไม่มีผู้สร้างหรือ?
      เมื่อมนุษย์ยังไม่สามารถประดิษฐ์นาฬิกา มนุษย์ดูวันและเวลาด้วยปฏิทิน และเงาจากแสงแดด การโคจรของโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์นั้นแน่นอน และไม่คลาดเคลื่อน หมุนเวียนมาเป็นพันๆ ปี หรือมากกว่านั้น แต่เวลาได้ผ่านพ้นไป มนุษย์สามารถประดิษฐ์นาฬิกาได้ นาฬิกาที่มนุษย์ประดิษฐ์ได้ ยังไม่ดีเท่ากับการโคจรของระบบสุริยะจักรวาล ถ้าหากเราไม่เชื่อว่า นาฬิกาเกิดขึ้นเอง แต่ต้องมีผู้สร้าง เพราะว่ามันมีแบบ มีระเบียบ และระบบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ต้องมีมันสมอง อยู่เบื้องหลังการค้นคิดนี้ ถึงแม้เราไม่เคยพบกับผู้สร้าง แต่เราก็แน่ใจว่าต้องมีผู้สร้างโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ที่โคจรอยู่ อย่างเที่ยงตรงจะไม่มีผู้สร้างหรือ? สิ่งที่เลว และคุณภาพต่ำกว่า ต้องมีผู้สร้าง แต่สิ่งที่ดีกว่ามากมาย จะไม่มีผู้สร้างหรือ?

พระเจ้าของคริสเตียน
      พระเจ้าผู้เที่ยงแท้ ไม่ใช่เป็นธรรมชาติ เพราะว่าธรรมชาติ เป็นแต่เพียงกฎ พระเจ้าคือผู้ที่ วางกฎธรรมชาติ ธรรมชาติเพียงแต่บอกเราว่า อะไรเกิดขึ้น ถ้าหากเราทำอย่างนี้ หรืออย่างนั้น สิ่งที่เราโยนขึ้นไป ต้องตกลงมา นี่เป็นกฎธรรมชาติ เพราะแรงดึงดูดของโลก แต่ธรรมชาติ ไม่ได้บอกว่า ใครโยนขึ้นไป ดังนั้นธรรมชาติไม่ใช่ พระเจ้าในศาสนาคริสต์ พระเจ้าคือผู้ที่วางกฎ ว่าอะไรที่ขึ้นไป ต้องตกลงมา กฎธรรมชาติมาจากพระเจ้า และผู้สร้าง ไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา
Lord of Jesus Christ
      พระเจ้าของคริสเตียน ต่างกับพระเจ้าในศาสนาอิสลาม เพราะคริสเตียนเชื่อว่า พระเจ้าผู้ที่ได้ทรง สร้างสรรพสิ่งทั้งปวง ได้มาบังเกิดเป็นเนื้อหนัง คือ พระเยซู อิสลามเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่เชื่อว่า พระเจ้ามาบังเกิดเป็นเนื้อหนัง เพื่อไถ่มนุษย์ จากความบาป พระเจ้าของศาสนาคริสต์ ก็แตกต่างจาก พระเจ้าของศาสนาฮินดู เพราะว่าพระเจ้าในคริสตศาสนา มีแต่เพียงองค์เดียว คือ พระยะโฮวา แต่ศาสนาฮินดูมีพระเจ้าหลายองค์

ความเชื่อในพระเจ้าของคริสเตียน
ยอห์น 20:29   ผู้ที่ไม่เห็นเรา แต่เชื่อก็เป็นสุข

เยเรมีย์ 29:13-14   เจ้าจะแสวงหาเราและพบเรา เมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า

กิจการของอัครทูต 17:27   เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระเจ้า และมุ่งหวังจะคลำหาให้พบพระองค์ ที่จริงพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย
      พระเจ้าทรงสัญญาที่จะอวยพระพรผู้เชื่อในพระองค์ แม้ว่ายังไม่เคยเห็นพระองค์เลย พระองค์ทรงมี พระสัญญาประเสริฐ ให้กับผู้ที่แสวงหาพระเจ้า...หากเราเพียงแต่ เปิดโอกาศให้พระองค์ พระองค์จะทรงเปิดเผย พระองค์เองในชีวิตของเรา และเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง เมื่อพระองค์ ทรงประทับอยู่ในเรา เราจะสูญเสีย สิ่งใดเล่า ไม่เลย แต่เรากลับจะได้ทุกสิ่งหากเราแสวงหาพระองค์
      เราไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่ามีพระเจ้า แต่เราสัมผัสถึงพระองค์ได้ เมื่อเราได้สัมผัสพระองค์แล้ว แม้จะเป็นเพียง ครั้งเดียวในชีวิต เราจะไม่สงสัยอีกต่อไปว่ามีพระเจ้า
ฮีบรู 11:6   แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ก็ไม่ได้เลย เพราะว่า ผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็น ผู้ประทานบำเหน็จ ให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์

ยากอบ 2:19   ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวหรือ นั่นก็ดีอยู่แล้ว
      เคนท์ นักปรัชญาเคยประกาศว่า "ไม่มีการพิสูจน์ใด ที่บอกให้เราทราบว่า ไม่มีพระเจ้า" ด้วยเหตุนี้ อย่างน้อยที่สุด เราขอคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ได้ให้โอกาสตนเองที่จะยอมรับความจริง และเริ่มแสวงหาพระองค์

เราเป็นซึ่งเราเป็น
      ตอนที่พระเจ้าทรงเรียกโมเสส ให้นำชนชาติอิสราเอล ออกจากการเป็นทาส ในประเทศอียิปต์นั้น โมเสสได้ถาม พระเจ้าว่า พระองค์คือใคร พระองค์ตรัสแก่โมเสสจากพุ่มไม้ไฟ ซึ่งมีการบันทึกไว้ใน ภาษาฮีบรู ซึ่งเป็นภาษาของ พระคัมภีร์เดิม ภาษาฮีบรูนี้มีเพียงพยัญชนะ แต่ไม่มีสระ
      คำตอบของพระเจ้า รวมกันแล้วเป็นพยัญชนะ 4 ตัว คือ Y H W H ทุกคนรู้ว่า การมีพยัญชนะ เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีสระมา ประกอบ จะอ่านออกเป็นสำเนียง ภาษามนุษย์ ได้อย่างไรกัน?
อพยพ 3:14   เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น...ไป บอกชนชาติอิสราเอลว่า พระองค์ผู้ทรงพระนามว่า 'เราเป็น' ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย... พระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่าน... ทรงใช้ให้ ข้าพเจ้ามาหาท่าน นี่แหละ เป็นนามของเราตลอดไปเป็นนิตย์ นี่แหละ เป็นอนุสรณ์ของเรา ตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์
      ต่อมามีคนแปล Y H W H ว่า I am Who I am "เราเป็นซึ่งเราเป็น" ถ้าจะให้แปลความหมายตามนี้ ก็คงจะได้ความหมายว่า พระองค์ทรง เป็นผู้ทรงพระชนม์นิรันดรกาล และทรงเป็นพระองค์เอง
      ต่อมานักวิชาการ ได้สร้างสระขึ้น เพื่อให้ง่ายในการอ่านพระคัมภีร์ ภาษาฮีบรู ก็ได้เอาสระ a และสระ e ไปแทรก ก็เลยได้เป็นศัพท์ใหม่ว่า Yahweh ออกเสียงยาห์เวห์ คัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม มีพระนามยาห์เวห์ ปรากฎอยู่ถึง 6 พันครั้ง
      ใครที่ได้อ่านพระคัมภีร์จนจบ ก็คงจะทราบได้ว่า ยาห์เวห์นั้นคือ พระเป็นเจ้า ผู้ซึ่ง
  1. ทรงพระชนม์อยู่
  2. ทรงเป็นผู้กระทำ
  3. ทรงเป็นเหตุให้เป็นไปตามแผนการของพระองค์
      เรื่องอักษร 4 ตัว ที่เป็นพระนามของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งออกเสียงไม่ได้ ไม่รู้ว่าพระองค์ชื่ออะไรกันแน่ มีผลทำให้ คนถอดภาษากันไปต่างๆ นานา นักวิชาการจากยุโรป กลุ่มหนึ่ง ถอดอักษร Y H W H ออกเป็นภาษาโรมัน เมื่อถอดได้แล้วก็เอาไปผสมสระ ผลสุดท้ายก็ได้เป็นคำว่า Jehovah หรือ เยโฮวาห์ คนที่ชอบอ่านตำราศาสนา ที่เขียน ในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นยุโรปประเทศไหนๆ ก็เรียกขาน พระนามของพระผู้เป็นเจ้าว่า เยโฮวาห์ทั้งสิ้น แม้แต่ในเมืองไทย ก็จะใช้คำเรียกพระนาม ของพระองค์ ว่าเยโฮวาห์เหมือนกัน      ผู้ที่อ่านคัมภีร์พันธสัญญาเดิมเข้าใจและแตกฉาน ท่านจะเห็นด้วยไหม ว่าในพระคัมภีร์ ไม่ต้องการให้มนุษย์ ออกพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ ของ พระเจ้า "พระเจ้า" พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ กว่ามนุษย์จะไปรู้จัก พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ เกินกว่าที่มนุษย์ จะกล้าไปเอ่ยพระนาม เมื่อมีการจะออกพระนาม ของพระเป็นเจ้า ก็ใช้คำว่า Lord ลอร์ดซึ่งแปลว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า คำนี้ในภาษาดั้งเดิม ตามพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู ก็คือ Adonai อโดนาย สรุปว่า พระนามพระเป็นเจ้า ของชนชาติอิสราเอล เรียกได้หลายชื่อดังนี้
  1. Y H W H
  2. Adonai อโดนาย
  3. Jehovah เยโฮวาห์
  4. Yahweh ยาเวห์
  5. Lord, องค์พระเป็นเจ้า

พระลักษณะของพระเจ้า
ยอห์น 4:24  "พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่มานมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง"

พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ คือ พระองค์มิได้มีสภาพเป็นเนื้อหนัง เหมือนกับมนุษย์เรา
      พระองค์มีกายที่แตกต่างไปจากเราที่เป็นมนุษย์ และเรามองไม่เห็นพระองค์ เนื่องจากพระองค์ ทรงเป็นพระวิญญาณ พระองค์จึงสามารถสถิตอยู่ได้ทุกหนทุกแห่ง ในขณะเดียวกัน ไม่ถูกจำกัดสถานที่ ให้อยู่เหมือนกับเราที่เป็นมนุษย์ พระองค์ไม่มีการเกิดและการตาย พระองค์เป็นอมตะ ที่เป็นอยู่ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อายุของพระองค์ ไม่มีผู้ใดรู้ และพระองค์มีชีวิตอยู่ยืนยาวนาน ต่อไปอีกชั่วนิรันดร์ พระองค์สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ด้วยพระองค์เอง โดยที่ไม่ต้อง พึ่งพาอาศัยผู้ใด แหล่งกำเนิด และการดำรงชีวิตอยู่นั้น อยู่ในพระองค์ ดังนั้นชีวิตทุกชีวิต เกิดมาจากพระองค์ รวมถึงชีวิตมนุษย์ด้วย เพราะพระองค์ เป็นต้นตอของชีวิตทั้งสิ้น ไม่มีชีวิตใดเริ่มก่อน หรือเกิดขึ้นโดยปราศจากพระองค์
ยอห์น 1:18   "ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย"

อพยพ 33:20   ‘เจ้าจะเห็นหน้าของเราไม่ได้ เพราะมนุษย์เห็นหน้าเราแล้ว จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้
      ผู้ที่ไม่เชื่อจะพูดว่า พระเจ้าหรือ ไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นพระองค์...จะสังเกตเห็นได้ว่า อัครสาวกยอห์น เห็นด้วยกับ คำพูดประโยคนี้ แต่กระนั้น ยอห์นก็ยังไม่ได้ปฎิเสธว่ามีพระเจ้า เราจะปฎิเสธที่จะยอมรับว่า มีกระแสไฟฟ้า ในข้ออ้างที่ว่า เรามองไม่เห็นกระแสไฟฟ้าหรือไม่ คงไม่เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน เนื่องจากว่า เรามองเห็น ถึงผลของการทำงานของมัน มีเหตุผลหนักแน่นมากมาย ที่จะทำให้เราเชื่อพระเจ้า
      มนุษย์ ที่อยู่ในสภาพบาป จะทนไม่ได้ที่จะมองดูความบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ของพระเจ้า แม้แต่ดวงอาทิตย์ เรายังมองดูไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง พระผู้ทรงสร้างดวงอาทิตย์เลย
ปฐมกาล 1:1   ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้าง ฟ้าและแผ่นดิน

โรม 1:19-20   เหตุว่าเท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย เพราะว่าพระเจ้า ได้ทรงโปรดสำแดงแก่เขาแล้ว ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวร และเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่ง ที่พระองค์ ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลาย จึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย

อิสยาห์ 46:9-10   จงจำสิ่งล่วงแล้วในสมัยก่อนไว้ เพราะเราเป็นพระเจ้า และไม่มีอื่นใดอีก เราเป็นพระเจ้า และไม่มีอื่นใดเหมือนเรา ผู้แจ้งตอนจบให้ทราบ ตั้งแต่เริ่มต้น และแจ้งถึงสิ่ง ที่ยังไม่ได้ทำเลย ให้ทราบตั้งแต่กาลโบราณ
    พระคัมภีร์ไม่ได้แม้แต่พิสูจน์ว่ามีพระเจ้า เพียงแต่บอกความจริง ตั้งแต่พระคัมภีร์ข้อแรก ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ เพราะพระองค์ทรงเป็นอยู่เช่นนั้น ความจริงที่ผู้เผยพระวจนะ ทำนายไว้ล่วงหน้าหลายร้อยปี ได้เกิดขึ้นจริงอย่าง มหัศจรรย์ และเรายังจะเห็นว่า หากเป็นเรื่องความบังเอิญแล้ว เหตุการณ์คงจะไม่เกิดขึ้นได้แม่นยำเช่นนี้
ดาเนียล 2:28   แต่มีพระเจ้าองค์หนึ่งในฟ้าสวรรค์ผู้ทรงเผย ความลึกลับทั้งหลาย

สดุดี 10:4   เพราะความทะนงตัว ... ความคิดทั้งสิ้นของเขาคือ ไม่มีพระเจ้า

สดุดี 14:1   คนโง่รำพึงอยู่ในใจของตนว่า ไม่มีพระเจ้า
      ให้ท่านรอจนได้เห็น พระเจ้าทรงเปิดเผยให้ผู้เผยพระวจนะ เห็นถึงเรื่องของอนาคต แล้วท่านจะเข้าใจ ได้อย่างมั่นใจ ว่าทำไมผู้เผยพระวจนะถึงกล่าวเช่นนั้น
      ในปัจจุบัน มีการยอมรับกันบ่อยครั้งว่า การปฏิเสธว่ามีพระเจ้า เป็นสัญลักษณ์ ของผู้ที่มีวัฒนธรรม สูงส่ง แต่ ในแง่หลักฐานของพระปัญญาล้ำเลิศแล้ว พระคัมภีร์จัดว่า ความเชื่อเรื่องไม่มีพระเจ้าไร้สาระ
      ถ้ามนุษย์สามารถเข้าใจและรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า ผู้นั้นเป็นพระเจ้าไม่ได้ ผู้ที่จะเป็นพระเจ้าได้ ต้องเป็นผู้ที่ อยู่เหนือกว่าสติปัญญา และเกินกว่าความคิดมนุษย์ พระหรือเจ้าที่มนุษย์ สร้างขึ้นมา ตามจินตนาการ และความเชื่อของเขา จึงเป็นพระเจ้าไม่ได้ ถ้ามนุษย์สร้างพระด้วยมือ และจินตนาการ ด้วยความคิด พระและเจ้านั้น ด้อยยิ่งกว่ามนุษย์เสียอีก เพราะการเป็นอยู่ของพระและเจ้านั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของมนุษย์ ที่จะคิดและทำขึ้น   พระเจ้าที่แท้จริง คือ ผู้ที่อยู่เหนือมนุษย์ ไม่ใช่อยู่ใต้มนุษย์ พระองค์เป็นเจ้าชีวิตของมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์ เป็นเจ้าชีวิต เหนือพระองค์ พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ แต่ไม่ใช่มนุษย์สร้างพระองค์ นี่แหละคือพระเจ้า
tags : พระเจ้ามีจริงหรือ,พระเจ้า,เชื่อ  

ประวัติของอัครสาวกทั้ง 12 คน

นักบุญมัทธิว

หรือ ที่เรียกกันว่า "เลวี" ในพระวรสารของนักบุญมาระโก และลูกา มีอาชีพเก็บภาษีให้กรุงโรม ที่เมืองคาเบอร์นาอุม ทั้งคงมีพื้นเพทางวัฒนธรรมกรีก แต่ชื่อเก่าเป็นภาษาฮีบรู ชื่อของท่านมัทธิวนั้นหมายถึง "คนของพระเจ้า" ในพระวรสารเขียนถึงว่า "วันหนึ่งขณะที่ท่านนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน พระเยซูเจ้าเสด็จมาและชักชวนท่านว่า จงตามเรามาเถิด ทันใดนั้นท่านก็ได้ทิ้งงานและตามพระองค์ไป"
                และหน้าที่สำคัญของท่านอีกอย่างหนึ่ง คือการถ่ายทอดข่าวดี หรือพระวรสาร หลังจากการเสด็จกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าแล้ว ท่านได้นิพนธ์ พระวรสาร เพื่อชักชวนให้ชาวยิวเชื่อมั่นว่า พระเยซูเจ้า คือพระเมสสิยาห์ พระผู้ไถ่ที่ทรงเป็นพระเจ้าและมนุษย์แท้ ท่านได้เผยแพร่พระวรสารแก่ชาวยิวเป็นเวลานานถึง 15 ปี จนได้รับสมญานามว่า "อัครสาวกแห่งเอธิโอเปีย" ในภาพจะเห็นว่า ท่านยืนอยู่บนถุงเงิน แต่ท่านกำลังอ่านพระคำภีร์อยู่ หมายถึงว่าท่านเลิกอาชีพเก็บภาษี มาเป็นสาวก และเป็นผู้นิพนธ์พระวรสารฉบับหนึ่ง.



นักบุญแอนดรูว์

มี ชื่อมาจากภาษกรีก หมายความว่า " สมเป็นชายชาติบุรุษ" ดูเหมือนท่านเป็นคนใจกว้าง มีความพร้อมเสมอ เปิดเผยและกระตือรือร้น ท่านเป็นน้องชายของนักบุญเปโตร และเป็นลูกศิษย์ของนักบุญยอห์น บัปติสต์ วันหนึ่งขณะที่ท่านยอห์น บัปติสต์อยู่กัยสาวกอีกสองคน คนหนึ่งคือนักบุญแอนดรูว์ เมื่อเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จมา ท่านยอห์นจึงบอกศิษย์ของท่านว่า "ท่านผู้นี้แหละคือลูกแกะ ของพระเจ้า" และศิษย์ทั้งสองก็ได้ติดตามพระเยซูเจ้าไป นักบุญแอนดรูว์เป็นผู้นำเปโตรมาให้พบพระเยซูเจ้า พระองค์จึงตรัสกับแอนดรูว์และเปโตรว่า " จงตามเรามาเถิด เราจะให้ท่านเป็นชาวประมงจับมนุษย์"
                      นักบุญแอนดรูว์ ได้ไปจาริกประกาศพระศาสนาจักร ยังประเทศกรีก รัสเซีย และโปรแลนด์ ท่านได้สิ้นใจเป็นมรณสักขี โดยการถูกจับตรึงกางเขนไขว้ เป็นรูป X ในภาษาอังกฤษ.




บาร์นาบัส

มี กำเนิดจากเชื้อสายของเลวี เป็นชาวเกาะไซปรัส ชื่อของท่านมีความหมายว่า "ผู้มีหน้าที่ตักเตือน" บาร์นาบัสเป็นผู้แนะนำเปาโลต่อบรรดาอัครสาวก
                 ขณะที่คริสตชนกำลังตั้งกลุ่มกันอยู่ที่อันติโอก บาร์นาบัสในฐานะตัวแทนของศาสนจักรแม่ คือกลุ่มพระวิหารเยรูซาเล็ม ถูกส่งไปเพื่อเป็นกำลังใจแก่บรรดาคริสตชนที่นักบุญเปาโลได้อบรมสั่งสอนอยู่ ที่นั่นตลอดเวลา 1 ปี จากนั้นเปาโลและบาร์นาบัส ก็ได้จาริกไปประกาศพระศาสนจักรในต่างแดน ทั้งสองถูกเนรเทศจากเมืองแห่งหนึ่ง ไปอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งเป็นผลดีในงานเผยแพร่พระธรรม ในที่สุดบาร์นาบัส ก็ได้มาระโกเป็นผู้ช่วยอยู่ที่ไซปรัส
                    บาร์นาบัส ได้อุทิศชีวิตด้วยการประกาศพระศาสนา โดยการนำของพระจิตเจ้าและความศรัทธาแรงกล้า ท่านจบชีวิตด้วยการเป็นมารตีร์ที่ไซปรัส ในรัชสมัยกษัตริย์เนโร โดยมีพระวรสารฉบับของนักบุญมัทธิวกอดเอาไว้แนบอก.




นักบุญโทมัส

ชื่อ ของท่านในภาษาอารามัย หมายความว่า "คู่แฝด" และด้วยเหตุนี้เองนักบุญยอห์น จึงเรียกท่านเป็นภาษากรีกว่า "ดิดิม" ท่านเป็นผู้กล้าหาญ เสียสละอย่างยอดเยี่ยม เมื่อครั้งพระเยซูเจ้าทรงตรัสบอกบรรดาอัครสาวกว่า พระองค์ต้องรีบกลับไปเยี่ยมลาซารัส ที่แคว้นยูเดีย พวกสาวกได้ทราบข่าวประชาชนที่นั่นคงเอาหินทุ่มพระเยซูเจ้า   ท่านได้กล่าวว่าเราจะไปด้วยกัน จะร่วมตายกับพระอาจารย์
                      เมื่อครั้งที่พระเยซูเจ้าปรากฎพระองค์แก่พวกสาวก หลังจากที่พระองค์กลับคืนพระชนม์ชีพ พวกสาวกได้กล่าวกับโทมัสว่า "เราได้พบพระเยซูเจ้าแล้ว" แต่ท่านตอบว่า " ข้าพเจ้าไม่เชื่อ จนกว่าจะได้เอานิ้วสอดเข้าไปในบาดแผลตะปู ที่พระหัตถ์และพระสีข้างของพระองค์" หลังจากนั้น 8 วัน ขณะที่โทมัสอยู่กับพวกสาวก พระเยซูเจ้าก็เสด็จมาประทับยืนต่อหน้าท่าน และตรัสแก่โทมัส ให้เอานิ้วสัมผัสที่สีข้างของพระองค์ พลางตรัสว่า "อย่าขาดความเชื่อเลย จงเชื่อเถิด" โทมัสได้ไปจาริกประกาศพระศาสนาในแคว้นต่างๆ สู่เปอร์เซีย และอินเดีย ซึ่งต่อมาท่านได้สิ้นชีวิตเป็นมรณสักขี.




นักบุญบาร์โธโลมิว แห่งเมืองกานา

บุตร ชาวไร่ ท่านยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า "นาธานาแอล" สำหรับชื่อของท่านนั้น "บาร์โธโลมิว" แปลว่า "ลูกของผู้กล้าหาญ" เป็นคนหนึ่งในบรรดาสานุศิษย์รุ่นแรกของพระเยซูเจ้า
                   วันหนึ่ง นักบุญฟิลิป ผู้เป็นเพื่อนของท่าน และศิษย์ของท่านยอห์น บัปติสต์ ได้มาบอกท่านถึงเรื่องพระเยซูเจ้า และคงเป็นคำพูดของพระเยซูเจ้าที่กล่าวว่า "นี่แหละชาวยิวแท้ ไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์เพทุบาย" นาธานาแอลจึงได้แสดงถึงความเชื่อ ที่ร้อนรนหลังจากที่บอกว่า "จากนาซาเร็ธจะมีอะไรดี" ท่านได้กล่าวว่า "พระอาจารย์ ท่านเป็นบุตรของพระเจ้าโดยแท้ ทั้งเป็นกษัตริย์ของชาติอิสราเอลด้วย"
                       นักบุญบาร์โธโลมิว หรือ นาธานาแอล ได้ไปจาริกประกาศพระศาสนจักร ที่ประเทศอาหรับและอินเดีย ท่านได้ถึงแก่กรรมเป็นมรณสักขี ที่ประเทศอามาเนีย ด้วยการถูกจับถลกหนังทั้งเป็น.




นักบุญยอห์น(ผู้นิพนธ์พระวรสาร)

ใน บรรดาสาวกทั้ง 12 องค์ นักบุญยอห์นเป็นผู้ใกล้ชิดและพระเยซูเจ้า ทรงไว้วางพระทัยมากที่สุด ชื่อของนักบุญยอห์น แปลว่า "พรจากพระเจ้า " ท่านเป็นคนหนุ่มที่สุดในบรรดา อัครสาวก 12 องค์ บิดาของท่านคือ เศเบดี เป็นชาวประมงที่ร่ำรวยของเมืองเบธไซดา มารดาชื่อ สะโลเม ในขณะที่พระเยซูเจ้า ทรงรับทรมานและสิ้นพระชนม์ ท่านได้ช่วยปลอบโยนพระแม่ และพระเยซูเจ้าทรงฝากพระมารดาไว้ในความดูแลของท่าน นักบุญยอห์นได้จาริกเผยแพร่พระศาสนาในปาเลสไตน์ ถูกจับขังคุกที่กรุงโรม เมื่อท่านอายุได้ 90 ปี ท่านได้เขียนพระวรสารพิสูจน์ว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแท้และเป็นนมุษย์แท้ เนื่องจากท่านสามารถพูดถึงสภาวะของพระเจ้าและของพระเยซูเจ้าได้อย่างถูกต้อง ยอห์นยังเห็นเหตุการณ์ต่างๆ และพระวาจาว่าเป็น "สัญญาลักษณ์" หมายถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะศีลล้างบาปและศีลมหาสนิท เขาจึงเปรียบท่านเหมือนนกอินทร์ ที่บินได้สูงกว่านกทั้งปวง
                     ในภาพจะเห็นว่ามีนกอินทรีอยู่ใกล้ๆกับท่าน และมือกำลังถือปากกาเตรียมเขียนข้อความลงในสมุด ซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์ให้ทราบว่า ท่านเป็นผู้หนึ่งที่เขียนพระวรสาร




นักบุญเปโตร

 เดิม ชื่อ "ซีโมน" เป็นชาวประมงตำบลเบธไซดา แต่ต่อมาได้ย้ายมาตั้งหลักแหล่งที่เมืองคาเปอร์นาอุม นักบุญแอนดรูว์น้องชายของท่านได้เป็นคนแนะนำ ให้มาติดตามพระเยซูเจ้า "ผมพบท่าน ผู้ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งมาเป็นกษัตริย์แล้ว"
                 พระเยซูเจ้าทรงเปลี่ยนชื่อท่านใหม่และทรงเรียกว่า "เปรโต" แปลว่า ศิลา ครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสถามท่านว่า "ท่านคิดว่าเราเป็นใคร" และเปรโตได้ทูลว่า "พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้า" พระเยซูจึงตรัสว่า "เราจะตั้งท่านเป็นหัวหน้าแทนเรา ทั้งจะมอบกุญแจแห่งอาณาจักรสวรรค์" สัญญาลักษณ์ที่เห็นเด่นชัดในภาพคือ มือของท่านมีลูกกุญแจ
                  นักบุญเปรโต เป็นพระสันตะปาปาองค์แรกของพระศาสนจักร ท่านได้ถูกจับตรึงกางเขน แต่ท่านได้ขอร้องให้เอาศีรษะทิ่มลงหิน โดยกล่าวว่า ท่านไม่สมควรที่จะตายในลักษณะเดียวกับพระเยซูเจ้า.



นักบุญธัดเดอัส หรือ นักบุญ ยูดา

คือ หนึ่งในอัครสาวก 12 องค์ ที่พระเยซูเจ้าทรงเรียก ดังจะพบได้ในพระวรสารนักบุญลูกา และหนังสือกิจการอัครสาวก "ยูดาบุตรยากอบ" แต่มีพระวรสารบางฉบับเรียกท่านว่า "ธัดเดอัส" เช่น พระวรสารนักบุญมัทธิว และมาระโก สำหรับเหตุผลที่ใช้ธัดเดอัสนั้น คงเป็นเพราะนักบุญมัทธิว และมาระโก ระวังเรื่องชื่อที่ซ้ำกันในพระวรสาร นั่นคือยูดาส อิสคาริโอท "ยูดา" คนละคนกันกับยูดาส บุตรคาริโอท
                สำหรับชื่อ ธัดเดอัส มาจากภาษาอารามัย นักบุญธัดเดอัส เป็นหลานชายของแม่พระ และนักบุญโยแซฟ ทั้งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระเยซูเจ้า ท่านเป็นน้องชายของนักบุญยากอบ นักบุญธัดเดอัสได้ไปประกาศเทศนาสั่งสอน ยังประเทศเปอร์เซีย ที่สุดท่านได้จบชีวิตลงด้วยการเป็นมรณสักขี โดยถูกฆ่าตาย ด้วยหอกแบบที่มีขวานติดอยู่ ดังนั้นในภาพมักจะเห็นท่านถือหอก ที่มีขวานติดอยู่ อันเป็นสัญญาลักษณ์มรณสักขีของท่าน.




นักบุญยากอบ(บุตรเศเบดี)


นัก บุญยากอบ ซึ่งเราเรียกว่า "องค์ใหญ่" เป็นบุตรเศเบดี และนางสะโลเม ซึ่งชื่อของนักบุญยากอบนั้นหมายความว่า "ผู้ติดตามพระเจ้า" มาจากภาษาฮีบรู ท่านเป็นพี่ชายของนักบุญยอห์น ผู้นิพนธ์พระวรสาร ท่านทั้งสองเป็นผู้ที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกให้มาเป็นสานุศิษย์รุ่นแรกของ พระองค์ และท่านทั้งสองก็มิได้ลังเลใจที่จะติดตาม พระองค์
                  เมื่อท่านยอห์น บัปติสต์ อยู่ที่แม่น้ำจอร์แดนและชี้ไปทางพระเยซูเจ้า เป็นเครื่องหมายบอกแก่ประชาชนเป็นนัยว่านี่คือ "พระเมสสิยาห์" ยากอบติดตามพระเยซูเจ้าไปด้วยความจงรักภักดี และเมื่อครั้งที่พระเยซูตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า พระองค์จะทำให้ชาวประมงจับมนุษย์ ยากอบก็ทิ้งอวนและติดตามพระองค์ไป พระเยซูเจ้าได้ทรงทำนายว่า ยากอบต้องดื่มกาลิกส์ แห่งยัญบูชาพร้อมกับพระองค์ และเหตุการนั้นก็เป็นจริง
                   ท่านยากอบเป็นสาวกองค์แรก ที่ได้หลั่งโลหิตเพื่อพระคริสตเจ้า โดยถูกตัดศีรษะ เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นราว ค.ศ. 42-43 ในช่วงระหว่างเทศกาลบัสกา





นักบุญฟิลิป

เป็น ลูกศิษย์ของนักบุญยอห์น บัปติสต์ ท่านเป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวก พวกแรกของพระเยซูเจ้า ท่านเป็นชาวเบธไซดา พูดภาษากรีกเช่นเดียวกับอัครสาวกอื่นๆ ชื่อของท่านนักบุญฟิลิปหมายความว่า "ผู้รักม้า" ซึ่งมาจากภาษากรีก เมื่อท่านได้พบพระเยซูเจ้าครั้งแรก ท่านได้ไปบอก นาธานาแอลว่า "เราได้พบพระองค์ผู้ที่โมเสสได้กล่าวไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ และผู้ที่เผยพระวจนะได้กล่าวถึง คือพระเยซู ชาวนาซาเร็ธ บุตรท่านโยเซฟ"
                         ต่อมาท่านทั้งสองได้สมัครเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า นักบุญฟิลิปได้เดินทางไปจาริกประกาศพระศาสนาจักร ยังประเทศในแถบเอเซียไมเนอร์ และถูกฆ่าตายด้วยการตรึงกางเขนในปี 80.




นักบุญซีโมน

หนึ่ง ในบรรดาอัครสาวกทั้ง 12 องค์ ที่พระเยซูเจ้าทรงเรียก ในพระวรสารนักบุญมัทธิวและมาระโก เรียกท่านว่า "ผู้รักชาติ" เพราะเหตุว่า มีการเรียกสันสนอยู่บ่อยๆเกี่ยวกับท่าน เพราะผู้อื่นคิดว่าท่านเป็นคนเดียวกับ ท่านนักบุญเปรโต (ซีโมน) แห่งกาลิสี
                        ซีโมน เป็นศัพท์มาจากาภษากรีก การที่เรียกท่านว่า ผู้รักชาติ อาจจะเป็นเพราะว่า ท่านเป็นชาวยิวที่มีความผูกพันกับอุดมการณ์ ของการมีพระเป็นเจ้าปกครอง กับอุดมการณ์พระเมสสิยาห์ อย่างแน่นแฟ้นของพวกฮีบรู และจิตใจของท่านก็ครุ่กรุ่นไปด้วย ความเป็นปฎิปักษ์ต่อต้านพวกโรมัน
                         ท่านได้ร่วมเดินทางไปประกาศศาสนากับนักบุญยูดา จนถึงเปอร์เซีย ที่นั่นท่านได้ประกาศความเชื่อ โดยการยอมถูกฆ่าตายด้วยเลื่อย เพื่อเป็นมรณสักขี ดังนั้นสัญญาลักษณ์ที่คู่กับท่าน คือเลื่อยและพระคำภีร์




นักบุญเปาโล

นัก บุญเปาโล เดิมชื่อ "เซาโล" ภาษาฮีบรูแปลว่า "ที่ปรารถนา" ท่านเป็นชาวยิวที่เกลียดพวกคริสตชนอย่างยิ่ง ครั้งหนึ่ง ขณะที่ท่านเดินทางไปเมืองดามัสกัส เพื่อจับคริสตชน พระเป็นเจ้าได้ประจักษ์มาหาท่าน โดยทำให้เกิดแสงสว่างลงมาจากฟ้าล้อมรอบตัวท่าน จนทำให้ท่านตกลงมาจากหลังม้า และก็มีเสียงถามว่า "เซาโล เซาโล ท่านเบียดเบียนเราทำไม " เซาโลจึงถามว่า " พระองค์ต้องการให้ข้าพเจ้าทำสิ่งใด" เสียงนั้นก็ว่า "จงเข้าไปในเมืองแล้วจะรู้เองว่าต้องทำอะไร" แต่เนื่องจากตอนนั้นตาของท่านบอด จึงต้องมีคนนำท่านเข้าไปในเมือง สามวันให้หลัง ท่านได้พบกับชายคนหนึ่งชื่อ อานาเนีย ซึ่งบอกกับท่านว่า พระเป็นเจ้าได้ส่งเขามาเพื่อพบท่าน หลังจากนั้นท่านก็ได้มองเห็นอีกครั้ง พร้อมทั้งพระหรรษทานจากพระจิตเจ้า ท่านได้กลับใจและรับศีลล้างบาป ทั้งเปลี่ยชื่อใหม่ เป็น "เปาโล"
                   ท่านเป็นผู้มีจิตใจร้อนรน ทั้งจาริกประกาศพระศาสนาไปทั่วแคว้นต่างๆ รวมทั้งเขียนจดหมายถึงคริสตชนเป็นจำนวนมากที่สุด ท่านจึงถูกจำคุกและถูกตัดศีรษะ เป็นมรณ
ที่มา http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=3231.0
Last Updated on Sunday, 12 July 2009 22:38
tags : สาวก