คำนำ
สำหรับคริสเตียน พระเจ้าคือ
พระผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวง แต่แนวความคิดของศาสนาอื่นๆ
แตกต่างไปมากน้อยไม่เท่ากัน พระคัมภีร์บันทึกว่า “ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้าง...” พระเจ้าคือ ผู้สร้างสิ่งสารพัด ดังนั้นคำจำกัดความของคำว่า “พระเจ้า” คือ “ผู้สร้าง” ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด
ไม่ใช่แนวความคิดหรือสิ่งที่มนุษย์จินตนาการขึ้นมาตามความคิดเห็นและประสบการณ์ของตน
1.
เหตุผลทั่วไปที่บ่งชี้ถึงการมีอยู่ของพระเจ้า
1.1.
ความเชื่อว่ามีพระเจ้าเป็นความเชื่อสากล
มนุษย์ทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษาเชื่อและตระหนักว่า มีพระเจ้า
มีอำนาจสูงสุด ถึงแม้ว่าแนวความคิดเรื่องพระเจ้าจะแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม
วัฒนธรรม ดังเช่น ประชาชนที่เอเธนส์มีแท่นบูชาสำหรับพระเจ้าที่ไม่รู้จัก
ทุกคนมีความรู้ว่ามีพระเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนยอมรับว่ามีพระเจ้า
เพราะความบาปของมนุษย์ทำให้มนุษย์ปฏิเสธพระเจ้า
รม.1:21 , สดด 41 :1
นักมนุษย์วิทยาบอกว่า “ความคิดเรื่องพระเจ้าไม่ใช่ขบวนการความคิดที่ต่อยๆพัฒนาขึ้นตามคำสอนหรือความเจริญทางอารยธรรม
แต่ความคิดนี้มีอยู่ในมนุษย์ตั้งแต่โบราณ
ความคิดเรื่องพระเจ้าในมนุษย์แต่ละคนนั้นเกิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกต้องการที่พึ่ง
มนุษย์แสวงหาที่พึ่งที่เหนือธรรมชาติ แต่ความรู้สึกหรือความคิดนั้นอาจจะไม่แจ่มชัด
อย่างไรก็ตาม
มนุษย์แต่ละคนมีศักยภาพที่จะรู้จักพระเจ้าได้แต่ความถูกต้องมีไม่เท่ากัน
1.2.
ธรรมชาติสำแดงว่าพระเจ้ามีจริง สดด.19:1-6 , รม.1:18-20
เมื่อเราเห็นสิ่งต่างๆที่มีอยู่
เรารู้ได้ว่าสิ่งเหล่านั้นต้องมีผู้สร้าง
เพราะต้องมีเหตุจึงทำให้เกิดผลที่มองเห็นได้ เมื่อเรามองดูอาคาร
เรารู้ว่าสิ่งนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ เพราะมีความซับซ้อนมากมาย
จะต้องมีผู้ออกแบบวางแผนและสร้างขึ้นมาอย่างแน่นอน ในขณะที่เรามองดูสิ่งต่างๆในโลก
เราก็รู้ได้ว่าต้องมีผู้สร้างและผู้สร้างเป็นผู้ที่มีสติปัญญามาก
1.3.
จิตสำนึกที่มีอยู่ในมนุษย์
จิตสำนึกเป็นตัวบอกว่า “อะไรถูก อะไรผิด” ในจิตใจมนุษย์ และเป็นตัวบอกว่า “เราควรทำสิ่งนั้น
ไม่ควรทำสิ่งนี้” หากเราทำผิดจิตสำนึกก็จะรู้สึกผิด
จิตสำนึกภายในใจมนุษย์เป็นเหมือนไม้วัดหรือมาตรฐานที่อยู่ภายในใจ มนุษย์ทุกคน
ทุกชาติ ทุกภาษา ผู้ที่สร้างจิตสำนึกก็คือ พระเจ้าผู้บริสุทธิ์
แต่หลังจากที่มนุษย์ทำบาป จิตสำนึกของมนุษย์ก็ถูกบิดเบือนโดยความบาป
ดังนั้นจึงจำเป้นที่คริสเตียนจะต้องมีพระวจนะคำของพระเจ้าเข้ามาเป็นมาตรฐานในการคิดและการตัดสินใจในทุกๆเรื่อง
เพื่อจะไม่ทำผิดพลาด
2.
การสำแดงของพระเจ้า
ความรู้ทั่วๆไปของมนุษย์ไม่เพียงพอที่จะทำให้มนุษย์รู้จักพระเจ้าได้
เพราะสิ่งที่ถูกสร้างไม่ใช่สิ่งเดียวกับผู้สร้าง
ดังนั้นหากเราค้นหาพระเจ้าจากธรรมชาติและจิตสำนึกในตัวมนุษย์เราจะไม่พบ
แม้ว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นจะยืนยันว่ามีพระเจ้า
แต่เราไม่สามารถบอกได้ว่าผู้สร้างมีลักษณะอย่างไรและมีน้ำพระทัยต่างๆอย่างไร
ดังนั้นหากพระเจ้าต้องการให้มนุษย์รู้จักพระองค์
พระองค์ต้องสำแดงพระองค์ให้มนุษย์ได้รู้จัก
มนุษย์จะรู้จักพระเจ้าได้ด้วยการสำแดงของพระองค์เองโดย...
2.1.
การดลใจให้มนุษย์เขียนพระคัมภีร์
พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์เองตั้งแต่เริ่มสร้างโลกและมนุษย์
โดยการดลใจให้มนุษย์บันทึกการสำแดงของพระองค์ไว้ทางพระคัม๓ร์ (2ทธ. 3 :17)
พระเจ้าทรงดลใจให้มนุษย์บันทึกทุกสิ่ง เพื่อสำแดง
2.2. การสำแดงโดยตรง
พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์เพื่อให้มนุษย์รู้จักตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
โดยสำแดงผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งบันทึกไว้ในพระคัมภีร์
และหนังสือประวัติศาสตร์มากมาย
และพระเจ้าก็ยังทรงสำแดงพระองค์อยู่จนถึงปัจจุบันโดย
2.2.1.
การปรากฏให้เห็นของพระเจ้า (Theophanies)
แท้จริงแล้วพระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ
ไม่มีร่างกายแบบมนุษย์ แต่พระเจ้าสามารถมาปรากฏให้มนุษย์เห็นได้ทางกายภาพ (physical) 1 ทธ. 6 : 16
โดยปกติหากพระเจ้าไม่สำแดงพระองค์ก็ไม่มีใครสามารถเห็นพระเจ้าได้
-ปฐก. 18 : 32 อับราฮัมต้อนรับทูตสวรรค์และ 1 ในทูตสวรรค์นั้นคือพระเจ้า
-ปฐก. 32 : 22-30 ยาโคบปล้ำสู้กับพระเจ้า
-อพย. 3 : 2-6
โมเสสเห็นพระเจ้าที่พุ่มไม้เป็นเปลวไฟลุก
2.2.2.
การสำแดงทางความฝันและนิมิต
ถึงแม้ว่าไม่ใช่วิธีเดียวที่พระเจ้าใช้สำแดงพระองค์บ่อยๆแต่ก็มีบันทึกเอาไว้เช่น
-2พศด. 3 : 1-7 ซาโลมอนฝัน
-ปฐก. 28 :12-16 ยาโคบฝันเห็นบันได
การสำแดงโดยนิมิตเป็นวิธีการที่พบในพระคัมภีร์บ่อยกว่าความฝัน
เช่น
-อสค. 1 : 1 เอเสเคียลเห็นนิมิตวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม
-อสค. 6 :1-8 อิสยาห์เห็นนิมิตพระเจ้าทรงเรียก
-กจ. 16 :9 เปาโลเห็นนิมิตชาวมาซิโดเนีย เป็นต้น
2.2.3.
การสื่อสารโดยตรง
พระคัมภีร์บันทึกว่า
พระเจ้าสามารถตรัสกับคนของพระเจ้าโดยตรงได้
พระเจ้าพูดกับมนุษย์โดยพูดจากภายในใจซึ่งตรัสโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่น
-กจ. 10 :9 เปโตร (ภายใน)
-1คร. 12 : 8 การใช้ของประทานถ้อยคำประกอบด้วยความรู้
-1คร. 12 :10 คนที่พระเจ้าพูดผ่านเรียกว่า “ผู้เผยพระวจนะ”
และบางครั้งก็เป็นเรื่องที่ได้ยินจากภายนอก
เช่น
-1ซมอ. 3 :1 ซามูเอล (ภายนอก)
-กจ. 9 :4 เปาโลได้ยินจากฟ้า
2.2.4.
ทางทูตสวรรค์
บางครั้งพระเจ้าใช้ทูตสวรรค์ในการสื่อสารสำแดงพระองค์
เช่น
-ลก. 2 :8-15 ปรากฏแก่คนเลี้ยงแกะ
-ดนล. 10: 10-13 ปรากฏแก่ดาเนียล
2.2.5.
การอัศจรรย์
การอัศจรรย์คือการที่พระเจ้าทำสิ่งที่ผิดไปจากกฎธรรมชาติที่พระเจ้าตั้งไว้
เช่น
อพย. 14 : 21 แยกทะเลแดง
2.3. การสำแดงอย่างสมบูรณ์ทางพระเยซูคริสต์
การสำแดงของพระเจ้าโดยวิธีต่างๆนั้น
ไม่สามารถเปรียบได้กับการได้พบกับพระเจ้าเอง
เพราะเราไม่สามารถเข้าใจพระลักษณะของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนแลเพียงพอ
เราจำเป็นต้องมีประสบการณ์ในการใช้เวลา สังเกต จับต้องด้วยมือเหมือนดังเช่นที่
ยอห์นได้กล่าวไว้ใน 1 ยน 1 : 1-2 ว่า “ซึ่งมีตั้งแต่ปฐมกาลซึ่งเราได้ยินซึ่งได้เห็นกับตา
ซึ่งเราได้พินิจดูและจับต้องด้วยมือของเรานั้นเกี่ยวกับพระวาทะแห่งชีวิต” พระเยซูทรงสำแดงพระเจ้า
เพื่อให้มนุษย์เข้าใจได้อย่างครบบริบูรณ์ถึงพระลักษณะของพระเจ้าคือ ความบริสุทธิ์
ความชอบธรรม และความรัก เราจะไม่สามารถเข้าใจได้ถ้าพระเจ้าไม่มาบังเกิดเป็นมนุษย์
2.4. การตอบคำอธิษฐานของพระเจ้า
แก่คนของพระองค์
ประสบการณ์ชีวิตคริสเตียนทำให้มั่นใจได้ว่ามีพระเจ้า
เพราพระเจ้าสามารถตอบคำอธิษฐานของมนุษย์ได้ทำให้มั่นใจในการทรงพระชนม์ของพระเจ้า
การสำแดงของพระเจ้าด้วยวิธีการต่างๆ
ที่กล่าวมาเหล่านี้ ทำให้เราสามารถรู้จักพระเจ้าได้ แต่อย่างไรก็ตามเราต้องตระหนักว่าการสำแดงของพระเจ้านั้นจะต้องอยู่ในกรอบพระคัมภีร์เสมอ
การสำแดงใดๆ ที่ขัดแย้งกับพระคัมภีร์ย่อมไม่ใช่การสำแดงจากพระเจ้าอย่างแน่นอน
3.
ทัศนะที่ผิดเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้า
เมื่อมนุษย์มีสิ่งที่บอกว่าโลกนี้มีพระเจ้า
มนุษย์ก็อาจจะใช้ความคิดของตัวเองและจิตสำนึกที่เสื่อมทรามเพราะความบาปมาคาดคะเนพระเจ้าโดยดูจากสิ่งที่พระเจ้าสร้างและสรุปว่พระเจ้าเป็นอย่างไร
ในโลกนี้จึงมีทัศนะเกี่ยวกับพระเจ้ามากมาย
ซึ่งเป็นต้นตอของความเชื่อของศาสนาต่างๆในโลก
ซึ่งไม่เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างเที่ยงแท้แต่องค์เดียว ตัวอย่างความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับพระเจ้าคือ
3.1.
พระเจ้าอยู่ทกหนทุกแห่งและอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง (Pantheism)
เป็นพระเจ้าที่ไม่มีลักษณะเป็นตัวเป็นตน
บุคคล แต่เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งต่างๆเป็นรากฐานของศาสนาทางตะวันออก เช่น ฮินดู พุทธ
เริ่มแรกจะเห็นว่ามีการนมัสการสิ่งต่างๆในธรรมชาติ เช่นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
ต้นไม้ ไฟ น้ำ และในที่สุดก็เข้ามาสู่การนมัสการตัวมนุษย์เอง
ข้อขัดแย้ง หากพระเจ้าเป็นพระผู้สร้างแล้ว
สิ่งที่ถูกสร้างจะไม่ใช่สิ่งเดียวกับผู้สร้าง
ดังนั้นพระเจ้าจะเข้าไปอยู่ในสิ่งต่างๆไม่ได้
3.2.พระเจ้ามีมากมายหลายองค์
(Polytheism)
เช่น เทพเจ้าของกรีก
3.3.เชื่อว่าพระเจ้ามี
2 องค์ (Dualism)
คือ พระเจ้าแห่งความดี และพระเจ้าแห่งความชั่ว
3.4.พระเจ้าสร้างโลกนี้ไว้
แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโลกนี้แล้ว (Deism) ดังนั้นจึงปฏิเสธเรื่องการสำแดงของพระเจ้า
และการอัศจรรย์ ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางวิทยาศาสตร์
3.5.ปฏิเสธว่าโลกนี้มีพระเจ้า
(Atheism)
ความเชื่อเหล่านี้ขัดแย้งกับความเชื่อของคริสเตียนอย่างสิ้นเชิง
เพราะคริสเตียนเชื่อว่าพระเจ้าเที่ยงแท้มีองค์เดียว เป็นพระผู้สร้าง
ความเชื่อเช่นนี้เป็นรากฐานความเชื่อของยิว และอิสลามด้วย
4.
ตรีเอกานุภาพ (Trinity)
พระคัมภีร์ได้บันทึกการสำแดงของพระเจ้า
ตลอดตั้งแต่พระองค์สร้างโลกทำให้รู้ว่าพระเจ้าผู้สร้างโลกนั้นมีลักษณะอย่างไร
พระเจ้ามีลักษณะเป็นตรีเอกานุภาพ คำว่า “ตรีเอกานุภาพ” นี้ไม่มีเขียนไว้โดยตรงในพระคัมภีร์
พระเจ้าไม่ได้ใช้คำนี้อธิบายพระลักษณะของพระองค์ แต่เป็นคำที่นักศาสนศาสตร์บัญญัติขึ้นเพื่อบิกลักษณะของพระเจ้าตามที่สำแดงทางพระคัมภีร์
ตรีเอกานุภาพหมายถึง 3 ใน 1 เป็นการสำแดงว่าพระเจ้ามีพระองค์เดียว
แต่สำแดงออกมาเป็นสามบุคคล(ภาค)
เป็นการสำแดงที่เกินความเข้าใจของมนุษย์เหตุผลที่เราเชื่อเรื่องตรีเอกานุภาพก็คือ
4.1 พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าพระเจ้ามีองค์เดียว
-ฉธบ. 6 : 4 พระเจ้าเป็นพระเจ้าเดียว
-1ทธ. 2 :5 มีพระเจ้าเดียว
ชนอิสราเอลได้รับการเลือกสรรให้รักษาที่มาแห่งเชื้อสายของพระมาซีฮาห์
พระผู้ช่วยให้รอดที่จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์
พระเจ้าได้ให้อิสราเอลได้รู้จักกับพระเจ้าผู้เที่ยงแท้มีองค์เดียวมาตลอด
เพราะฉะนั้นเขาจึงยึดเรื่องพระเจ้าแท้องค์เดียวอย่างเหนียวแน่น
ด้วยเหตุนี้เองคนยิวจึงรับไม่ได้เมื่อพระเยซูบอกว่า
พระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า
4.2
พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าพระเจ้ามีหลายบุคคล ปฐก. 1 : 26 คำว่า “เรา” ( “Let us…”) เป็นพหูพจน์ที่แสดงว่ามีมากกว่า 1
บุคคลที่เกี่ยวข้อง และพระเจ้ายังไม่ได้สร้างมนุษย์จึงยังไม่มีมนุษย์
พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์ตามอย่างทูตสวรรค์ แต่สร้างตามอย่างพระฉายของพระเจ้า
ดังนั้นต้องมีมากกว่า 1 บุคคล
ภาษาฮิบรูมีหลายคำที่ใช้เรียกพระเจ้า
เช่น คำว่า “EI” เป็นเอกพจน์ ใช้ไม่กี่ร้อยครั้งในพระคัมภีร์เดิม แต่คำว่า “ELOHIM”
เป็นลักษณะพหูพจน์ แบบ Compound Noun
(ลักษณะพวงองุ่น) ใช้หลายพันครั้งในพระคัมภีร์ ปฐก. 1 : 1
คำนี้แสดงความเป็นหนึ่งแบบมีกลุ่มรวมกันเป็นหนึ่ง เช่น องุ่น 1 พวง(ช่อ) เป็นต้น
4.3 พระคัมภีร์เขียนไว้ว่ามี 3
บุคคลที่ถูกเรียกว่าเป็นพระเจ้าใน
ก. พระบิดาเป็นพระเจ้า ยน.8 : 54
ข. พระเยซูเป็นพระเจ้า ยน. 1 : 1, 20 : 26-29
ค. พระวิญญาณเป็นพระเจ้า ยน. 14 : 16-17
พระเยซูทรงกล่าวถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าเมื่อพระองค์ทรงเสด็จขึ้นสวรรค์แล้ว
พระองค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์กับผู้เชื่อ เพื่อมาเป็นพระผู้ช่วยคำว่า “ผู้ช่วย” ในภาษาเดิมแสดงถึง
ผู้ช่วยที่มีลักษณะเช่นเดียวกับพระองค์เอง คือ เป็นพระเจ้าเช่นเดียวกับพระเยซู กจ.
5 : 1-4 การมุสาต่อพระวิญญาณเท่ากับมุสาต่อพระเจ้า
4.4
หลักข้อเชื่อในพระคัมภีร์เดิม
เตรียมทางให้เข้าใจเรื่อง ตรีเอกานุภาพ เช่นการใช้คำว่าElohim ,US
(เรา)
ที่ใช้เป็นพหูพจน์
-สดด. 110 : 1 พระเยซูอ้างถึงใน มธ. 10 : 11-46 ว่า
กล่าวถึงพระองค์
-อสย. 63 : 10-16, 48 : 16
กล่าวถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ตรีเอกานุภาพในพระคัมภีร์เดิมไม่ชัดเจนและยิวไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างครบบริบูรณ์
4.5
หลักข้อเชื่อในพระคัมภีร์ใหม่
มีการบันทึกเรื่องตรีเอกานุภาพเช่นกัน
-พระเยซูทูลขอพระบิดาให้ส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มาเป็นผู้ช่วยมนุษย์ ยน. 14 : 15-16
-การบัพติสมาของพระเยซูปรากฏทั้งพระบิดา
พระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระเยซู มก. 1 : 10-11
-พระเยซูสั่งให้บัพติสมาในนามของตรีเอกานุภาพคือ
ในนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ มธ. 28 : 19
-ผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่กล่าวถึงตรีเอกานุภาพ
เช่น การกล่าวคำอำลาของอัครทูต 2คร. 13 : 14, 2ธส. 2 : 13-14
ลักษณะของตรีเอกานุภาพ คือ 3
บุคคลเท่าเทียมกัน
(1)
เท่าเทียมกันในความเป็นพระเจ้า (co-equal) ไม่มีใครเป้นพระเจ้าด้อยกว่าใคร เป็นพระเจ้าทั้งพระองค์ทุกพระองค์
แต่มีหน้าที่แตกต่างกัน
(2)
ทรงอยู่ด้วยกันมาตลอดนิรันดร์ (co-eternal)
เช่น ยน.1 : 1
(3)
ทรงอยู่พร้อมๆกันในเวลาเดียวกัน ไม่มีใครสร้างใคร
(co-existence) คือ มีทั้งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่พร้อมๆกัน เช่น
มก. 1 : 9-11 ตอนที่พระเยซูทรงรับบัพติสมาในน้ำ
ตรีเอกานุภาพเป็นพระเจ้า
3 บุคคลที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
อย่างเช่นที่พระเยซูอธิษฐานต่อพระบิดาให้สาวกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ยน. 17 : 22
ทัศนะที่ผิดเรื่องตรีเอกานุภาพ
(1)
มีพระเจ้าเดียว พระภาคเดียว
(บุคคลเดียว)
(2)
มีพระเจ้า 3 พระภาค ปรากฏในเวลาต่างๆกัน
(3)
มีพระเจ้า 3 องค์
5.
ลักษณะของพระเจ้า
5.1 ลักษณะทางธรรมชาติ (Natural
Attribute)
5.1.1
พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ ยน.4 : 24, 1ทธ. 1 : 17, คส. 1 : 15, อพย. 20 : 4
เราไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าได้พระเจ้าไม่มีร่างกาย รูปร่าง
วิญญาณไม่ได้หมายถึงพลังงาน อพย. 20 : 4
พระเจ้าห้ามการทำรูปเคารพ เพราะพระองค์เป็นพระวิญญาณ
ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์จะกล่าวถึงมือ-เท้าของพระเจ้า แต่ก็เป็นการเปรียบเทียบเท่านั้น
แท้จริงแล้ว พระเจ้าไม่มีร่างกายแบบมนุษย์ แต่สามารถทำสิ่งต่างๆได้
5.1.2 พระเจ้าเป็นบุคคล มีสติปัญญา,
อารมณ์ความรู้สึก, การตัดสินใจ, จิตสำนึกด้านคุณธรรม
มนุษย์ได้รับลักษณะบุคคลมาจากพระเจ้า
5.1.3 พระเจ้าเป็นองค์อธิปไตย (Sovereignty)
พระเจ้าทรงเป็นอยู่โดยพระองค์เอง พระองค์บริบูรณ์ในพระองค์เอง
เป็นผู้ปกครองจักรวาลแต่ผู้เดียว ไม่ต้องพึ่งพาใคร อสย. 41 :
4, 44 : 6, อพย. 3 : 13-14, รม. 11 : 33-34,9 : 19-20, อฟ. 1 : 5,
สดด. 115 : 3 พระองค์มีเอกสิทธิ์ที่จะตัดสินใจทำอะไรก็ได้
5.1.4 พระเจ้าทรงอยู่นิรันดร์ ไม่ถูกจำกัดด้วยมิติของเวลา
ฉธบ. 33 : 27, สดด. 102 : 11-12 พระเจ้าไม่แก่ ไม่ตาย
แต่ทรงเป็นอยู่นิรันดร์เหมือนเดิม
5.1.5
พระเจ้าทรงอยู่ทุกหนทุกแห่ง (Omnipresent) โดยอยู่ทั้งพระองค์
การอยู่ทุกหนทุกแห่ง มี 2 ลักษณะ คือ
ก. พระเจ้าสถิตในโลกนี้ทุกหนทุกแห่ง
ทำพระราชกิจผ่านสิ่งที่ทรงสร้าง (Immanance) ฮบ. 1 : 1-3
ข. พระเจ้าแยกจากสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างและอยู่เหนือสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง
(Transceudance)
สดด.139 : 7-12, มธ. 18 : 20
5.1.6
พระเจ้าทรงฤทธานุภาพไม่จำกัด (Omniscient)
พระองค์สามารถทำอะไรก็ได้ ไม่มีอะไรที่พระเจ้าทำไม่ได้ยกเว้น ความบาป ปฐก. 18 : 14, วว. 19 : 6, มธ. 19 : 26
ก. เหนือธรรมชาติ สดด. 33 : 6-9
ข. เหนือมนุษย์ อพย. 4 : 11,21
ค. เหนือทูตสวรรค์ สดด. 103 : 20
ง. เหนือมารซาตาน โยบ 1 : 12,2 : 6, วว. 20 : 2
จ.เหนือความตาย อฟ. 1 : 19-21, วว. 20 : 14
5.1.7 พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ความรู้ของพระเจ้านั้นไม่จำกัด พระองค์ทรงรู้ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต
พระองค์ทรงรู้ทั้งสิ่งที่เห็นและไม่เห็น
ทรงรู้แม้กระทั่งสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในความคิดของมนุษย์ สดด.147 : 5, อสย. 40 : 13, ฮบ. 4 : 13
5.1.8
พระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง (พระลักษณะ) (Immutable) พระเจ้าอาจจะเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติหรือต่อมนุษย์
แต่พระลักษณะของพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง ฮบ. 13 : 8
5.1.9
พระเจ้าทรงสูงเกินกว่าที่จะเข้าใจได้หมด
(Imcomprehensive)
มนุษย์ไม่สามารถที่จะรู้จักและเข้าใจพระเจ้าได้หมด โยบ 5 : 8-9,11 : 7-9, รม. 11 : 33-36, อสย. 59 : 8-9
5.1.10
พระเจ้าไม่มีความจำกัด (Infinite) พระเจ้าไม่ถูกจำกัดด้วยเวลา สถานที่ ไม่มีสิ่งใดจำกัดพระเจ้าได้ ยกเว้น
พระลักษณะและน้ำพระทัยของพระเจ้าเอง เช่น พระเจ้าทำบาปไม่ได้
เพราะพระลักษณะของพระเจ้าคือ “บริสุทธิ์” 1พกษ. 8 :
22-23,27, ยรม. 23 : 24, มธ. 17 : 20
5.2
คุณลักษณะทางศีลธรรม (Moral
Atrribute)
5.2.1 พระเจ้าบริสุทธิ์ (Holy)
ความบริสุทธิ์เป็นคุณลักษณะพื้นฐานสำคัญของพระเจ้า
และสำแดงเด่นชัดมากที่สุดในพระคัมภีร์เดิม
ลนต. 19 : 2, สดด. 99 : 9, 1 ปต. 1 : 15
ใน IVF
Bew Bible Dictionary กล่าวว่า “เนื่องจากความบริสุทธิ์ได้ครอบคลุมพระลักษณะทุกอย่างของพระเจ้าจึงอาจให้คำจำกัดความว่า
“ความบริสุทธิ์เป็นแสงที่ส่องออกมาจากความเป็นพระเจ้า
เหมือนแสงอาทิตย์ที่ประกอบไปด้วยสีรุ้งผสมผสานออกมาเป็นแสงสว่าง
ดังนั้นการสำแดงของพระเจ้าถึงพระลักษณะของพระองค์ผสมผสานออกมาเป็นความบริสุทธิ์
ซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งหมด
พระเจ้าทรงปกครองดูแลโลกและจักรวาลด้วยความบริสุทธิ์
ดังนั้นทุกอย่างที่แสดงออกมานั้น เพื่อรักษาโลกนี้ไว้ในความบริสุทธิ์”
ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าสำแดงออกมาเป็น
2 ลักษณะ คือ
ก. ความชอบธรรมคือ
การทำทุกอย่างในทางที่ถูกต้อง ในความชอบธรรมนั้นพระเจ้าก็ได้สำแดงความรัก
และความบริสุทธิ์ด้วย
ข. ความยุติธรรม
ในความยุติธรรม พระเจ้าสำแดงความเกลียดบาปมากที่สุด พระเยซูทรงสำแดงพระลักษณะ2
อย่างนี้เมื่อพระองค์มารับผิดแทนเรา อสย.
53 : 1-10, ฮบ. 2 : 7, 1ปต. 2 :
21-25,3 :18
พระเจ้าสำแดงความบริสุทธิ์ในสิ่งอื่นๆด้วย
เช่น
1.ด้านพระราชกิจ
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้บริสุทธิ์แต่แรก
2.ด้านพระธรรม
พระเจ้าทรงประทานพระบัญญัติบริสุทธิ์
3.ด้านนิมิตที่สำแดงความบริสุทธิ์ของพระเจ้าแก่อิสยาห์
อสย. 6 : 1-5, แก่ยอห์น วว. 4 : 8-11
4.ด้านสิ่งของ เช่น
พลับพลาและเครื่องใช้ในพลับพลาบริสุทธิ์ เป้นต้น
5.2.2 พระเจ้าเป็นความรัก
ความรักของพระเจ้าเป้นความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีเงื่อนไข
เป็นความรักที่แสดงออกด้วยการสนใจสวัสดิภาพของผู้อื่น
และแสดงออกแก่ผู้อื่นให้ดีที่สุด ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่คนอื่น 1 ยน. 4 : 8-16,19 ไม่ขึ้นอยู่กับความดี หรือ ลักษณะของผู้รับ
พระคัมภีร์บันทึกว่าพระเจ้าทรงรัก
-พระบุตร มธ. 3 : 17, ยน. 17 : 24
-ผู้เชื่อ ยน. 16 : 27, 17 : 23
-อิสราเอล ยรม. 31 : 3
-คนบาป อฟ.2 : 4-5, รม. 5 : 6-8
ความรักของพระเจ้าสำแดงโดย
-การประทานพระบุตรมาเพื่อเรา ยน.3 : 16, 1ยน. 4 : 8, รม. 5 : 6-8
-การให้เรามีสิทธิเป็นบุตรของพระองค์ ฮบ. 12 : 6-11
5.2.3 พระเจ้าประเสริฐ อพย. 33 : 19,22 พระเจ้าประเสริฐทั้งพระลักษณะและการกระทำ
ความประเสริฐนั้นเท่าเทียมกับพระสง่าราศีของพระองค์
ทุกอย่างที่พระเจ้ากระทำล้วนประเสริฐ สดด.72 : 18
ความประเสริฐของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ทำให้พระองค์มีเมตตา สุภาพ อดทนนาน
และเต็มไปด้วยความปรารถนาดีต่อมนุษย์ สดด. 107 : 8
5.2.4 พระเจ้าเมตตา (คล้ายคำว่า
“พระคุณ”) เป็นพระลักษณะที่ทำให้พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์
แม้มนุษย์ไม่สมควรได้รับ
-การปรับโทษมนุษย์เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องกระทำ
แต่เพราะความเมตตาพระเจ้าจึงทรงเลือกที่จะช่วยเหลือมนุษย์
โดยการเสียสละพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อไถ่เรา
-ความเมตตาของพระเจ้าไม่มีขีดจำกัดทั้งด้านปริมาณและเวลา
คือ นิรันดร์ สดด. 103 : 7, ฉธบ. 4 : 31
5.2.5 พระเจ้าสัตย์จริง ทต. 1 : 12 “สัจจะ”
-พระเจ้าพูดปดไม่ได้ 1ธส. 1 : 9, รม. 3 : 4
-พระเจ้าเป็นแหล่งเดียวของความจริง
และมาตรฐานความจริงมาจากพระเจ้าเท่านั้น
5.2.6 พระเจ้าสัตย์ซื่อ ฉธบ. 7 : 9 รวมถึงความจงรักภักดี, ซื่อสัตย์, การไม่เปลี่ยนแปลงในสัญญา ฮบ. 11: 1, 1คร. 1 : 9, ฮบ. 10 : 23, สดด. 36 :
5,89: 1-2
6.
ชื่อ (พระนาม) ของพระเจ้า
6.1 Elohim
ไม่ใช่ชื่อส่วนพระองค์
แต่เป็นการกล่าวถึง ตำแหน่ง ฤทธานุภาพของพระเจ้า เป็นพหูพจน์ ใช้ในพระคัมภีร์ถึง
2,570 ครั้ง ปฐก. 1 :1, สดด. 19 : 1 “พระผู้สร้าง”
6.2 EL เป็นคำเอกพจน์
ซึ่งกล่าวถึงพระลักษณะของพระเจ้าที่มีฤทธานุภาพ พบ 250 ครั้ง นอกจากคำว่า “EL”
ยังสามารถนำไปผสมกับคำอื่นซึ่งบอกถึงพระลักษณะของพระเจ้าด้านต่างๆ
ได้อีกด้วย เช่น
6.2.1 Elyon แปลว่า “พระเจ้าผู้สูงสุด” ปฐก. 14 :
18, ฉธบ. 32 : 8, ดนว. 4
:34-35, อสย. 16 : 13-14
6.2.2 El Roi แปลว่า “พระเจ้าผู้ให้เห็น”
ปฐก. 16 :13
6.2.3 El Shaddi ใช้ 48 ครั้ง แปลว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทฤทธิ์” ปฐก. 17 : 1
6.2.4 El Olam แปลว่า “พระเจ้าเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์” อสย. 40 : 28
6.3
Adonai
แลว่า “เจ้านาย” หรือ “พระเจ้าเป็นเจ้าของทุกสิ่งที่ทรงสร้าง”
ใช้ในพระคัมภีร์เดิมถึง 340 ครั้ง คำว่า “Adonai” ในมลค.
1 6 ตรงกับภาษากรีกคำว่า “Kurios” หมายถึง “ทาสเชื่อฟังเจ้านายและเจ้านายต้องจัดสรรดูแลทาส”
6.4
Jehovah
แปลว่า “เราเป็น” ใช้ราว
6,823 ครั้ง เป็นชื่อส่วนตัวของพระเจ้า
ซึ่งบอกถึงพระลักษณะของพระเจ้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นอยู่ตั้งแต่นิตย์นิรัยดร์กาล
ความจริงคนยิวไม่มีการออกเสียง เพราะถือเป็นชื่อศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า
ในภาษาเดิมเขียนว่า YAWEH นามนี้ใช้พูดกับโมเสสใน อพย. 3 : 14 คนยิวจะเลี่ยงออกเสียง Adonai แทน
ในพระคัมภีร์นิยมเอาคำนี้มาผสมกับคำอื่นเพื่อแสดงถึงพระหัตถกิจของพระเจ้า เช่น
6.4.1
Jehavah
Jireh “พระเจ้าผู้จัดสรรไว้ให้” ปฐก. 22 : 13-14
6.4.2
Jehovah
Nissi “พระเจ้าเป็นธงชัย” อพย. 17 :15
6.4.3
Jehovah
Shalom “พระเจ้าเป็นสันติสุข” ผวฉ. 6 :24
6.4.4
Jehovah
Sabaoth “พระเจ้าจอมโยธา” สดด. 68 : 17, อพย. 12 : 41, 1ซมอ. 1 :3
6.4.5
Jehovah
Maccaddesehem (Qadash)”พระเจ้าผู้กระทำให้บริสุทธิ์” อพย. 31 :
13,ลนต. 28 : 8
6.4.6
Jehovah
Raah “พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงดู” สดด. 23 :1
6.4.7
Jehovah
Tsidkenu “พระเจ้าทรงเป็นความชอบธรรม” ยรม. 23 :
6,33 :16
6.4.8
Jehovah
Shammah “พระเจ้าทรงสถิตย์” อสค. 48 : 35
6.4.9
Jehovah
Rapha “พระเจ้าทรงเป็นแพทย์” อพย. 15 :26
6.4.10
Jehovah
Yasha –Gaal “พระเจ้าเป็นพระผู้ช่วย” อสย. 49 :26