วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

หลักข้อเชื่อตอนที่ 1: พระเจ้า


คำนำ
          สำหรับคริสเตียน พระเจ้าคือ พระผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวง แต่แนวความคิดของศาสนาอื่นๆ แตกต่างไปมากน้อยไม่เท่ากัน พระคัมภีร์บันทึกว่า ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้าง... พระเจ้าคือ ผู้สร้างสิ่งสารพัด ดังนั้นคำจำกัดความของคำว่า พระเจ้า คือ ผู้สร้าง ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด ไม่ใช่แนวความคิดหรือสิ่งที่มนุษย์จินตนาการขึ้นมาตามความคิดเห็นและประสบการณ์ของตน

1.       เหตุผลทั่วไปที่บ่งชี้ถึงการมีอยู่ของพระเจ้า
1.1.   ความเชื่อว่ามีพระเจ้าเป็นความเชื่อสากล
         มนุษย์ทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษาเชื่อและตระหนักว่า มีพระเจ้า มีอำนาจสูงสุด ถึงแม้ว่าแนวความคิดเรื่องพระเจ้าจะแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม วัฒนธรรม ดังเช่น ประชาชนที่เอเธนส์มีแท่นบูชาสำหรับพระเจ้าที่ไม่รู้จัก ทุกคนมีความรู้ว่ามีพระเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนยอมรับว่ามีพระเจ้า เพราะความบาปของมนุษย์ทำให้มนุษย์ปฏิเสธพระเจ้า    รม.1:21 , สดด 41 :1
         นักมนุษย์วิทยาบอกว่า ความคิดเรื่องพระเจ้าไม่ใช่ขบวนการความคิดที่ต่อยๆพัฒนาขึ้นตามคำสอนหรือความเจริญทางอารยธรรม แต่ความคิดนี้มีอยู่ในมนุษย์ตั้งแต่โบราณ ความคิดเรื่องพระเจ้าในมนุษย์แต่ละคนนั้นเกิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกต้องการที่พึ่ง มนุษย์แสวงหาที่พึ่งที่เหนือธรรมชาติ แต่ความรู้สึกหรือความคิดนั้นอาจจะไม่แจ่มชัด อย่างไรก็ตาม มนุษย์แต่ละคนมีศักยภาพที่จะรู้จักพระเจ้าได้แต่ความถูกต้องมีไม่เท่ากัน
1.2.   ธรรมชาติสำแดงว่าพระเจ้ามีจริง   สดด.19:1-6 , รม.1:18-20
         เมื่อเราเห็นสิ่งต่างๆที่มีอยู่ เรารู้ได้ว่าสิ่งเหล่านั้นต้องมีผู้สร้าง เพราะต้องมีเหตุจึงทำให้เกิดผลที่มองเห็นได้ เมื่อเรามองดูอาคาร เรารู้ว่าสิ่งนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ เพราะมีความซับซ้อนมากมาย จะต้องมีผู้ออกแบบวางแผนและสร้างขึ้นมาอย่างแน่นอน ในขณะที่เรามองดูสิ่งต่างๆในโลก เราก็รู้ได้ว่าต้องมีผู้สร้างและผู้สร้างเป็นผู้ที่มีสติปัญญามาก
1.3.   จิตสำนึกที่มีอยู่ในมนุษย์
         จิตสำนึกเป็นตัวบอกว่า อะไรถูก อะไรผิด ในจิตใจมนุษย์ และเป็นตัวบอกว่า เราควรทำสิ่งนั้น ไม่ควรทำสิ่งนี้ หากเราทำผิดจิตสำนึกก็จะรู้สึกผิด จิตสำนึกภายในใจมนุษย์เป็นเหมือนไม้วัดหรือมาตรฐานที่อยู่ภายในใจ มนุษย์ทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา ผู้ที่สร้างจิตสำนึกก็คือ พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ แต่หลังจากที่มนุษย์ทำบาป จิตสำนึกของมนุษย์ก็ถูกบิดเบือนโดยความบาป ดังนั้นจึงจำเป้นที่คริสเตียนจะต้องมีพระวจนะคำของพระเจ้าเข้ามาเป็นมาตรฐานในการคิดและการตัดสินใจในทุกๆเรื่อง เพื่อจะไม่ทำผิดพลาด

2.       การสำแดงของพระเจ้า
          ความรู้ทั่วๆไปของมนุษย์ไม่เพียงพอที่จะทำให้มนุษย์รู้จักพระเจ้าได้ เพราะสิ่งที่ถูกสร้างไม่ใช่สิ่งเดียวกับผู้สร้าง ดังนั้นหากเราค้นหาพระเจ้าจากธรรมชาติและจิตสำนึกในตัวมนุษย์เราจะไม่พบ แม้ว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นจะยืนยันว่ามีพระเจ้า แต่เราไม่สามารถบอกได้ว่าผู้สร้างมีลักษณะอย่างไรและมีน้ำพระทัยต่างๆอย่างไร ดังนั้นหากพระเจ้าต้องการให้มนุษย์รู้จักพระองค์ พระองค์ต้องสำแดงพระองค์ให้มนุษย์ได้รู้จัก  มนุษย์จะรู้จักพระเจ้าได้ด้วยการสำแดงของพระองค์เองโดย...
2.1. การดลใจให้มนุษย์เขียนพระคัมภีร์
พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์เองตั้งแต่เริ่มสร้างโลกและมนุษย์ โดยการดลใจให้มนุษย์บันทึกการสำแดงของพระองค์ไว้ทางพระคัม๓ร์ (2ทธ. 3  :17) พระเจ้าทรงดลใจให้มนุษย์บันทึกทุกสิ่ง เพื่อสำแดง
2.2. การสำแดงโดยตรง
พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์เพื่อให้มนุษย์รู้จักตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา โดยสำแดงผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ และหนังสือประวัติศาสตร์มากมาย และพระเจ้าก็ยังทรงสำแดงพระองค์อยู่จนถึงปัจจุบันโดย
2.2.1.      การปรากฏให้เห็นของพระเจ้า  (Theophanies)
แท้จริงแล้วพระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ ไม่มีร่างกายแบบมนุษย์ แต่พระเจ้าสามารถมาปรากฏให้มนุษย์เห็นได้ทางกายภาพ (physical) 1 ทธ. 6 : 16 โดยปกติหากพระเจ้าไม่สำแดงพระองค์ก็ไม่มีใครสามารถเห็นพระเจ้าได้
                             -ปฐก. 18 : 32 อับราฮัมต้อนรับทูตสวรรค์และ 1 ในทูตสวรรค์นั้นคือพระเจ้า
                             -ปฐก. 32 : 22-30   ยาโคบปล้ำสู้กับพระเจ้า
                             -อพย. 3 : 2-6          โมเสสเห็นพระเจ้าที่พุ่มไม้เป็นเปลวไฟลุก
2.2.2.      การสำแดงทางความฝันและนิมิต
                             ถึงแม้ว่าไม่ใช่วิธีเดียวที่พระเจ้าใช้สำแดงพระองค์บ่อยๆแต่ก็มีบันทึกเอาไว้เช่น
                             -2พศด. 3 : 1-7          ซาโลมอนฝัน
                             -ปฐก. 28  :12-16       ยาโคบฝันเห็นบันได
                             การสำแดงโดยนิมิตเป็นวิธีการที่พบในพระคัมภีร์บ่อยกว่าความฝัน เช่น
                             -อสค. 1 : 1     เอเสเคียลเห็นนิมิตวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม
                             -อสค. 6  :1-8   อิสยาห์เห็นนิมิตพระเจ้าทรงเรียก
                             -กจ. 16  :9     เปาโลเห็นนิมิตชาวมาซิโดเนีย เป็นต้น
2.2.3.      การสื่อสารโดยตรง
พระคัมภีร์บันทึกว่า พระเจ้าสามารถตรัสกับคนของพระเจ้าโดยตรงได้ พระเจ้าพูดกับมนุษย์โดยพูดจากภายในใจซึ่งตรัสโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่น
                             -กจ. 10  :9     เปโตร (ภายใน)
                             -1คร. 12 : 8    การใช้ของประทานถ้อยคำประกอบด้วยความรู้
                             -1คร. 12  :10  คนที่พระเจ้าพูดผ่านเรียกว่า ผู้เผยพระวจนะ
                             และบางครั้งก็เป็นเรื่องที่ได้ยินจากภายนอก เช่น
                             -1ซมอ. 3  :1    ซามูเอล (ภายนอก)
                             -กจ. 9  :4       เปาโลได้ยินจากฟ้า
2.2.4.      ทางทูตสวรรค์
                             บางครั้งพระเจ้าใช้ทูตสวรรค์ในการสื่อสารสำแดงพระองค์ เช่น
                             -ลก. 2  :8-15   ปรากฏแก่คนเลี้ยงแกะ
                             -ดนล. 10:  10-13       ปรากฏแก่ดาเนียล
2.2.5.      การอัศจรรย์
                             การอัศจรรย์คือการที่พระเจ้าทำสิ่งที่ผิดไปจากกฎธรรมชาติที่พระเจ้าตั้งไว้ เช่น
อพย. 14 : 21 แยกทะเลแดง
2.3. การสำแดงอย่างสมบูรณ์ทางพระเยซูคริสต์
การสำแดงของพระเจ้าโดยวิธีต่างๆนั้น ไม่สามารถเปรียบได้กับการได้พบกับพระเจ้าเอง เพราะเราไม่สามารถเข้าใจพระลักษณะของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนแลเพียงพอ เราจำเป็นต้องมีประสบการณ์ในการใช้เวลา สังเกต จับต้องด้วยมือเหมือนดังเช่นที่ ยอห์นได้กล่าวไว้ใน 1 ยน 1 : 1-2  ว่า ซึ่งมีตั้งแต่ปฐมกาลซึ่งเราได้ยินซึ่งได้เห็นกับตา ซึ่งเราได้พินิจดูและจับต้องด้วยมือของเรานั้นเกี่ยวกับพระวาทะแห่งชีวิต พระเยซูทรงสำแดงพระเจ้า เพื่อให้มนุษย์เข้าใจได้อย่างครบบริบูรณ์ถึงพระลักษณะของพระเจ้าคือ ความบริสุทธิ์ ความชอบธรรม และความรัก เราจะไม่สามารถเข้าใจได้ถ้าพระเจ้าไม่มาบังเกิดเป็นมนุษย์
2.4. การตอบคำอธิษฐานของพระเจ้า แก่คนของพระองค์
ประสบการณ์ชีวิตคริสเตียนทำให้มั่นใจได้ว่ามีพระเจ้า เพราพระเจ้าสามารถตอบคำอธิษฐานของมนุษย์ได้ทำให้มั่นใจในการทรงพระชนม์ของพระเจ้า
การสำแดงของพระเจ้าด้วยวิธีการต่างๆ ที่กล่าวมาเหล่านี้ ทำให้เราสามารถรู้จักพระเจ้าได้ แต่อย่างไรก็ตามเราต้องตระหนักว่าการสำแดงของพระเจ้านั้นจะต้องอยู่ในกรอบพระคัมภีร์เสมอ การสำแดงใดๆ ที่ขัดแย้งกับพระคัมภีร์ย่อมไม่ใช่การสำแดงจากพระเจ้าอย่างแน่นอน

3.       ทัศนะที่ผิดเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้า
          เมื่อมนุษย์มีสิ่งที่บอกว่าโลกนี้มีพระเจ้า มนุษย์ก็อาจจะใช้ความคิดของตัวเองและจิตสำนึกที่เสื่อมทรามเพราะความบาปมาคาดคะเนพระเจ้าโดยดูจากสิ่งที่พระเจ้าสร้างและสรุปว่พระเจ้าเป็นอย่างไร ในโลกนี้จึงมีทัศนะเกี่ยวกับพระเจ้ามากมาย ซึ่งเป็นต้นตอของความเชื่อของศาสนาต่างๆในโลก ซึ่งไม่เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างเที่ยงแท้แต่องค์เดียว ตัวอย่างความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับพระเจ้าคือ
3.1. พระเจ้าอยู่ทกหนทุกแห่งและอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง (Pantheism)
          เป็นพระเจ้าที่ไม่มีลักษณะเป็นตัวเป็นตน บุคคล แต่เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งต่างๆเป็นรากฐานของศาสนาทางตะวันออก เช่น ฮินดู พุทธ เริ่มแรกจะเห็นว่ามีการนมัสการสิ่งต่างๆในธรรมชาติ เช่นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ต้นไม้ ไฟ น้ำ และในที่สุดก็เข้ามาสู่การนมัสการตัวมนุษย์เอง
ข้อขัดแย้ง  หากพระเจ้าเป็นพระผู้สร้างแล้ว สิ่งที่ถูกสร้างจะไม่ใช่สิ่งเดียวกับผู้สร้าง ดังนั้นพระเจ้าจะเข้าไปอยู่ในสิ่งต่างๆไม่ได้
3.2.พระเจ้ามีมากมายหลายองค์ (Polytheism) เช่น เทพเจ้าของกรีก
3.3.เชื่อว่าพระเจ้ามี 2 องค์ (Dualism) คือ พระเจ้าแห่งความดี และพระเจ้าแห่งความชั่ว
3.4.พระเจ้าสร้างโลกนี้ไว้ แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโลกนี้แล้ว (Deism) ดังนั้นจึงปฏิเสธเรื่องการสำแดงของพระเจ้า และการอัศจรรย์ ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางวิทยาศาสตร์
3.5.ปฏิเสธว่าโลกนี้มีพระเจ้า (Atheism)
                   ความเชื่อเหล่านี้ขัดแย้งกับความเชื่อของคริสเตียนอย่างสิ้นเชิง เพราะคริสเตียนเชื่อว่าพระเจ้าเที่ยงแท้มีองค์เดียว เป็นพระผู้สร้าง ความเชื่อเช่นนี้เป็นรากฐานความเชื่อของยิว และอิสลามด้วย

4.       ตรีเอกานุภาพ (Trinity)
          พระคัมภีร์ได้บันทึกการสำแดงของพระเจ้า ตลอดตั้งแต่พระองค์สร้างโลกทำให้รู้ว่าพระเจ้าผู้สร้างโลกนั้นมีลักษณะอย่างไร พระเจ้ามีลักษณะเป็นตรีเอกานุภาพ คำว่า ตรีเอกานุภาพ นี้ไม่มีเขียนไว้โดยตรงในพระคัมภีร์ พระเจ้าไม่ได้ใช้คำนี้อธิบายพระลักษณะของพระองค์ แต่เป็นคำที่นักศาสนศาสตร์บัญญัติขึ้นเพื่อบิกลักษณะของพระเจ้าตามที่สำแดงทางพระคัมภีร์ ตรีเอกานุภาพหมายถึง 3 ใน 1 เป็นการสำแดงว่าพระเจ้ามีพระองค์เดียว แต่สำแดงออกมาเป็นสามบุคคล(ภาค) เป็นการสำแดงที่เกินความเข้าใจของมนุษย์เหตุผลที่เราเชื่อเรื่องตรีเอกานุภาพก็คือ
          4.1 พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าพระเจ้ามีองค์เดียว
          -ฉธบ. 6 : 4     พระเจ้าเป็นพระเจ้าเดียว
          -1ทธ. 2  :5     มีพระเจ้าเดียว
          ชนอิสราเอลได้รับการเลือกสรรให้รักษาที่มาแห่งเชื้อสายของพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอดที่จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระเจ้าได้ให้อิสราเอลได้รู้จักกับพระเจ้าผู้เที่ยงแท้มีองค์เดียวมาตลอด เพราะฉะนั้นเขาจึงยึดเรื่องพระเจ้าแท้องค์เดียวอย่างเหนียวแน่น ด้วยเหตุนี้เองคนยิวจึงรับไม่ได้เมื่อพระเยซูบอกว่า พระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า
          4.2 พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าพระเจ้ามีหลายบุคคล ปฐก. 1 : 26  คำว่า เรา ( “Let us…”) เป็นพหูพจน์ที่แสดงว่ามีมากกว่า 1 บุคคลที่เกี่ยวข้อง และพระเจ้ายังไม่ได้สร้างมนุษย์จึงยังไม่มีมนุษย์ พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์ตามอย่างทูตสวรรค์ แต่สร้างตามอย่างพระฉายของพระเจ้า ดังนั้นต้องมีมากกว่า 1 บุคคล
          ภาษาฮิบรูมีหลายคำที่ใช้เรียกพระเจ้า เช่น คำว่า “EI” เป็นเอกพจน์ ใช้ไม่กี่ร้อยครั้งในพระคัมภีร์เดิม แต่คำว่า “ELOHIM” เป็นลักษณะพหูพจน์ แบบ Compound Noun (ลักษณะพวงองุ่น) ใช้หลายพันครั้งในพระคัมภีร์ ปฐก. 1 : 1 คำนี้แสดงความเป็นหนึ่งแบบมีกลุ่มรวมกันเป็นหนึ่ง เช่น องุ่น 1 พวง(ช่อ) เป็นต้น
          4.3 พระคัมภีร์เขียนไว้ว่ามี 3 บุคคลที่ถูกเรียกว่าเป็นพระเจ้าใน
          ก. พระบิดาเป็นพระเจ้า  ยน.8 : 54
          ข. พระเยซูเป็นพระเจ้า  ยน. 1 : 1, 20 : 26-29
          ค. พระวิญญาณเป็นพระเจ้า      ยน. 14 : 16-17 พระเยซูทรงกล่าวถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าเมื่อพระองค์ทรงเสด็จขึ้นสวรรค์แล้ว พระองค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์กับผู้เชื่อ เพื่อมาเป็นพระผู้ช่วยคำว่า ผู้ช่วย ในภาษาเดิมแสดงถึง ผู้ช่วยที่มีลักษณะเช่นเดียวกับพระองค์เอง คือ เป็นพระเจ้าเช่นเดียวกับพระเยซู กจ. 5 : 1-4 การมุสาต่อพระวิญญาณเท่ากับมุสาต่อพระเจ้า
4.4    หลักข้อเชื่อในพระคัมภีร์เดิม เตรียมทางให้เข้าใจเรื่อง ตรีเอกานุภาพ เช่นการใช้คำว่าElohim,US
(เรา) ที่ใช้เป็นพหูพจน์
          -สดด. 110 : 1 พระเยซูอ้างถึงใน มธ. 10 : 11-46 ว่า กล่าวถึงพระองค์
          -อสย. 63 : 10-16, 48 : 16  กล่าวถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ตรีเอกานุภาพในพระคัมภีร์เดิมไม่ชัดเจนและยิวไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างครบบริบูรณ์
4.5    หลักข้อเชื่อในพระคัมภีร์ใหม่
มีการบันทึกเรื่องตรีเอกานุภาพเช่นกัน
-พระเยซูทูลขอพระบิดาให้ส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มาเป็นผู้ช่วยมนุษย์  ยน. 14 : 15-16
-การบัพติสมาของพระเยซูปรากฏทั้งพระบิดา พระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระเยซู  มก. 1 : 10-11
-พระเยซูสั่งให้บัพติสมาในนามของตรีเอกานุภาพคือ ในนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ มธ. 28 : 19
-ผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่กล่าวถึงตรีเอกานุภาพ เช่น การกล่าวคำอำลาของอัครทูต  2คร. 13 : 14, 2ธส. 2 : 13-14
ลักษณะของตรีเอกานุภาพ คือ 3 บุคคลเท่าเทียมกัน
(1)     เท่าเทียมกันในความเป็นพระเจ้า (co-equal) ไม่มีใครเป้นพระเจ้าด้อยกว่าใคร เป็นพระเจ้าทั้งพระองค์ทุกพระองค์ แต่มีหน้าที่แตกต่างกัน
(2)     ทรงอยู่ด้วยกันมาตลอดนิรันดร์ (co-eternal) เช่น ยน.1 : 1
(3)     ทรงอยู่พร้อมๆกันในเวลาเดียวกัน ไม่มีใครสร้างใคร (co-existence) คือ มีทั้งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่พร้อมๆกัน เช่น มก. 1 : 9-11 ตอนที่พระเยซูทรงรับบัพติสมาในน้ำ
ตรีเอกานุภาพเป็นพระเจ้า 3 บุคคลที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างเช่นที่พระเยซูอธิษฐานต่อพระบิดาให้สาวกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ยน. 17 : 22
ทัศนะที่ผิดเรื่องตรีเอกานุภาพ
(1)     มีพระเจ้าเดียว พระภาคเดียว (บุคคลเดียว)
(2)      มีพระเจ้า 3 พระภาค ปรากฏในเวลาต่างๆกัน
(3)      มีพระเจ้า 3 องค์

5.       ลักษณะของพระเจ้า
          5.1 ลักษณะทางธรรมชาติ (Natural Attribute)
          5.1.1 พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ ยน.4 : 24, 1ทธ. 1 : 17, คส. 1 : 15, อพย. 20 : 4 เราไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าได้พระเจ้าไม่มีร่างกาย รูปร่าง วิญญาณไม่ได้หมายถึงพลังงาน อพย. 20 : 4 พระเจ้าห้ามการทำรูปเคารพ เพราะพระองค์เป็นพระวิญญาณ ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์จะกล่าวถึงมือ-เท้าของพระเจ้า แต่ก็เป็นการเปรียบเทียบเท่านั้น แท้จริงแล้ว พระเจ้าไม่มีร่างกายแบบมนุษย์ แต่สามารถทำสิ่งต่างๆได้
          5.1.2 พระเจ้าเป็นบุคคล มีสติปัญญา, อารมณ์ความรู้สึก, การตัดสินใจ, จิตสำนึกด้านคุณธรรม มนุษย์ได้รับลักษณะบุคคลมาจากพระเจ้า
          5.1.3 พระเจ้าเป็นองค์อธิปไตย (Sovereignty) พระเจ้าทรงเป็นอยู่โดยพระองค์เอง พระองค์บริบูรณ์ในพระองค์เอง เป็นผู้ปกครองจักรวาลแต่ผู้เดียว ไม่ต้องพึ่งพาใคร อสย. 41 : 4, 44 : 6, อพย. 3 : 13-14, รม. 11 : 33-34,9 : 19-20, อฟ. 1 : 5, สดด. 115 : 3 พระองค์มีเอกสิทธิ์ที่จะตัดสินใจทำอะไรก็ได้
          5.1.4 พระเจ้าทรงอยู่นิรันดร์ ไม่ถูกจำกัดด้วยมิติของเวลา ฉธบ. 33 : 27, สดด. 102 : 11-12 พระเจ้าไม่แก่ ไม่ตาย แต่ทรงเป็นอยู่นิรันดร์เหมือนเดิม
5.1.5 พระเจ้าทรงอยู่ทุกหนทุกแห่ง (Omnipresent) โดยอยู่ทั้งพระองค์ การอยู่ทุกหนทุกแห่ง มี 2 ลักษณะ คือ
ก.      พระเจ้าสถิตในโลกนี้ทุกหนทุกแห่ง ทำพระราชกิจผ่านสิ่งที่ทรงสร้าง (Immanance) ฮบ. 1 : 1-3
ข.      พระเจ้าแยกจากสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างและอยู่เหนือสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง (Transceudance) สดด.139 : 7-12, มธ. 18 : 20
5.1.6 พระเจ้าทรงฤทธานุภาพไม่จำกัด (Omniscient) พระองค์สามารถทำอะไรก็ได้ ไม่มีอะไรที่พระเจ้าทำไม่ได้ยกเว้น ความบาป ปฐก. 18 : 14, วว. 19 : 6, มธ. 19 : 26
ก. เหนือธรรมชาติ        สดด. 33 : 6-9
ข. เหนือมนุษย์  อพย. 4 : 11,21
ค. เหนือทูตสวรรค์       สดด. 103 : 20
ง. เหนือมารซาตาน      โยบ 1 : 12,2 : 6, วว. 20 : 2
จ.เหนือความตาย        อฟ. 1 : 19-21, วว. 20 : 14
5.1.7 พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ความรู้ของพระเจ้านั้นไม่จำกัด พระองค์ทรงรู้ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต พระองค์ทรงรู้ทั้งสิ่งที่เห็นและไม่เห็น ทรงรู้แม้กระทั่งสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในความคิดของมนุษย์ สดด.147 : 5, อสย. 40 : 13, ฮบ. 4 : 13
5.1.8           พระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง (พระลักษณะ) (Immutable) พระเจ้าอาจจะเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติหรือต่อมนุษย์ แต่พระลักษณะของพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง ฮบ. 13 : 8
5.1.9           พระเจ้าทรงสูงเกินกว่าที่จะเข้าใจได้หมด (Imcomprehensive) มนุษย์ไม่สามารถที่จะรู้จักและเข้าใจพระเจ้าได้หมด  โยบ 5 : 8-9,11 : 7-9, รม. 11 : 33-36, อสย. 59 : 8-9
5.1.10        พระเจ้าไม่มีความจำกัด (Infinite) พระเจ้าไม่ถูกจำกัดด้วยเวลา สถานที่ ไม่มีสิ่งใดจำกัดพระเจ้าได้ ยกเว้น พระลักษณะและน้ำพระทัยของพระเจ้าเอง เช่น พระเจ้าทำบาปไม่ได้ เพราะพระลักษณะของพระเจ้าคือ บริสุทธิ์  1พกษ. 8 : 22-23,27, ยรม. 23 : 24, มธ. 17 : 20
5.2       คุณลักษณะทางศีลธรรม (Moral Atrribute)
5.2.1 พระเจ้าบริสุทธิ์ (Holy)
          ความบริสุทธิ์เป็นคุณลักษณะพื้นฐานสำคัญของพระเจ้า และสำแดงเด่นชัดมากที่สุดในพระคัมภีร์เดิม  ลนต. 19 : 2, สดด. 99 : 9, 1 ปต. 1 : 15
          ใน IVF Bew Bible Dictionary กล่าวว่า เนื่องจากความบริสุทธิ์ได้ครอบคลุมพระลักษณะทุกอย่างของพระเจ้าจึงอาจให้คำจำกัดความว่า ความบริสุทธิ์เป็นแสงที่ส่องออกมาจากความเป็นพระเจ้า เหมือนแสงอาทิตย์ที่ประกอบไปด้วยสีรุ้งผสมผสานออกมาเป็นแสงสว่าง ดังนั้นการสำแดงของพระเจ้าถึงพระลักษณะของพระองค์ผสมผสานออกมาเป็นความบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งหมด พระเจ้าทรงปกครองดูแลโลกและจักรวาลด้วยความบริสุทธิ์ ดังนั้นทุกอย่างที่แสดงออกมานั้น เพื่อรักษาโลกนี้ไว้ในความบริสุทธิ์
ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าสำแดงออกมาเป็น 2 ลักษณะ คือ
ก.      ความชอบธรรมคือ การทำทุกอย่างในทางที่ถูกต้อง ในความชอบธรรมนั้นพระเจ้าก็ได้สำแดงความรัก และความบริสุทธิ์ด้วย
ข.      ความยุติธรรม ในความยุติธรรม พระเจ้าสำแดงความเกลียดบาปมากที่สุด พระเยซูทรงสำแดงพระลักษณะ2 อย่างนี้เมื่อพระองค์มารับผิดแทนเรา  อสย. 53 : 1-10, ฮบ. 2 : 7, 1ปต. 2 : 21-25,3 :18
พระเจ้าสำแดงความบริสุทธิ์ในสิ่งอื่นๆด้วย เช่น
1.ด้านพระราชกิจ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้บริสุทธิ์แต่แรก
2.ด้านพระธรรม พระเจ้าทรงประทานพระบัญญัติบริสุทธิ์
3.ด้านนิมิตที่สำแดงความบริสุทธิ์ของพระเจ้าแก่อิสยาห์ อสย. 6 : 1-5, แก่ยอห์น วว. 4 : 8-11
4.ด้านสิ่งของ เช่น พลับพลาและเครื่องใช้ในพลับพลาบริสุทธิ์ เป้นต้น
5.2.2 พระเจ้าเป็นความรัก
          ความรักของพระเจ้าเป้นความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีเงื่อนไข เป็นความรักที่แสดงออกด้วยการสนใจสวัสดิภาพของผู้อื่น และแสดงออกแก่ผู้อื่นให้ดีที่สุด ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่คนอื่น 1 ยน. 4 : 8-16,19 ไม่ขึ้นอยู่กับความดี หรือ ลักษณะของผู้รับ
พระคัมภีร์บันทึกว่าพระเจ้าทรงรัก
-พระบุตร        มธ. 3 : 17, ยน. 17 : 24
-ผู้เชื่อ            ยน. 16 : 27, 17 : 23
-อิสราเอล        ยรม. 31 : 3
-คนบาป                   อฟ.2 : 4-5, รม. 5 : 6-8
ความรักของพระเจ้าสำแดงโดย
-การประทานพระบุตรมาเพื่อเรา  ยน.3 : 16, 1ยน. 4 : 8, รม. 5 : 6-8
-การให้เรามีสิทธิเป็นบุตรของพระองค์  ฮบ. 12 : 6-11
5.2.3 พระเจ้าประเสริฐ อพย. 33 : 19,22 พระเจ้าประเสริฐทั้งพระลักษณะและการกระทำ ความประเสริฐนั้นเท่าเทียมกับพระสง่าราศีของพระองค์ ทุกอย่างที่พระเจ้ากระทำล้วนประเสริฐ สดด.72 : 18 ความประเสริฐของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ทำให้พระองค์มีเมตตา สุภาพ อดทนนาน และเต็มไปด้วยความปรารถนาดีต่อมนุษย์ สดด. 107 : 8
5.2.4 พระเจ้าเมตตา (คล้ายคำว่า พระคุณ) เป็นพระลักษณะที่ทำให้พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ แม้มนุษย์ไม่สมควรได้รับ
-การปรับโทษมนุษย์เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องกระทำ แต่เพราะความเมตตาพระเจ้าจึงทรงเลือกที่จะช่วยเหลือมนุษย์ โดยการเสียสละพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อไถ่เรา
-ความเมตตาของพระเจ้าไม่มีขีดจำกัดทั้งด้านปริมาณและเวลา คือ นิรันดร์ สดด. 103 : 7, ฉธบ. 4 : 31
5.2.5 พระเจ้าสัตย์จริง   ทต. 1 : 12 สัจจะ
-พระเจ้าพูดปดไม่ได้     1ธส. 1 : 9, รม. 3 : 4
-พระเจ้าเป็นแหล่งเดียวของความจริง และมาตรฐานความจริงมาจากพระเจ้าเท่านั้น
5.2.6 พระเจ้าสัตย์ซื่อ ฉธบ. 7 : 9 รวมถึงความจงรักภักดี, ซื่อสัตย์, การไม่เปลี่ยนแปลงในสัญญา ฮบ. 11:   1, 1คร. 1 : 9, ฮบ. 10 : 23, สดด. 36 : 5,89:  1-2

6.       ชื่อ (พระนาม) ของพระเจ้า
          6.1 Elohim
          ไม่ใช่ชื่อส่วนพระองค์ แต่เป็นการกล่าวถึง ตำแหน่ง ฤทธานุภาพของพระเจ้า เป็นพหูพจน์ ใช้ในพระคัมภีร์ถึง 2,570 ครั้ง ปฐก. 1  :1, สดด. 19 : 1 พระผู้สร้าง
          6.2 EL เป็นคำเอกพจน์ ซึ่งกล่าวถึงพระลักษณะของพระเจ้าที่มีฤทธานุภาพ พบ 250 ครั้ง นอกจากคำว่า “EL” ยังสามารถนำไปผสมกับคำอื่นซึ่งบอกถึงพระลักษณะของพระเจ้าด้านต่างๆ ได้อีกด้วย เช่น
          6.2.1 Elyon แปลว่า พระเจ้าผู้สูงสุด ปฐก. 14 : 18, ฉธบ. 32 : 8, ดนว. 4  :34-35, อสย. 16 : 13-14
          6.2.2 El Roi แปลว่า พระเจ้าผู้ให้เห็น  ปฐก. 16  :13
          6.2.3 El Shaddi  ใช้ 48 ครั้ง แปลว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทฤทธิ์ ปฐก. 17 : 1
          6.2.4 El Olam แปลว่า พระเจ้าเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์ อสย. 40 : 28
6.3 Adonai แลว่า เจ้านาย หรือ พระเจ้าเป็นเจ้าของทุกสิ่งที่ทรงสร้าง ใช้ในพระคัมภีร์เดิมถึง 340 ครั้ง คำว่า “Adonai” ในมลค. 1  6 ตรงกับภาษากรีกคำว่า “Kurios” หมายถึง ทาสเชื่อฟังเจ้านายและเจ้านายต้องจัดสรรดูแลทาส
6.4 Jehovah แปลว่า เราเป็น ใช้ราว 6,823 ครั้ง เป็นชื่อส่วนตัวของพระเจ้า ซึ่งบอกถึงพระลักษณะของพระเจ้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นอยู่ตั้งแต่นิตย์นิรัยดร์กาล ความจริงคนยิวไม่มีการออกเสียง เพราะถือเป็นชื่อศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ในภาษาเดิมเขียนว่า YAWEH นามนี้ใช้พูดกับโมเสสใน อพย. 3 : 14 คนยิวจะเลี่ยงออกเสียง Adonai แทน ในพระคัมภีร์นิยมเอาคำนี้มาผสมกับคำอื่นเพื่อแสดงถึงพระหัตถกิจของพระเจ้า เช่น
6.4.1 Jehavah Jireh             พระเจ้าผู้จัดสรรไว้ให้  ปฐก. 22 : 13-14
6.4.2 Jehovah Nissi             “พระเจ้าเป็นธงชัย       อพย. 17  :15
6.4.3 Jehovah Shalom                   “พระเจ้าเป็นสันติสุข     ผวฉ. 6  :24
6.4.4 Jehovah Sabaoth “พระเจ้าจอมโยธา     สดด. 68 : 17, อพย. 12 : 41, 1ซมอ. 1  :3
6.4.5 Jehovah Maccaddesehem (Qadash)”พระเจ้าผู้กระทำให้บริสุทธิ์  อพย. 31 : 13,ลนต. 28 : 8
6.4.6 Jehovah Raah            “พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงดู                     สดด. 23  :1
6.4.7 Jehovah Tsidkenu         “พระเจ้าทรงเป็นความชอบธรรม  ยรม. 23 : 6,33  :16
6.4.8 Jehovah Shammah       “พระเจ้าทรงสถิตย์                  อสค. 48 : 35
6.4.9 Jehovah Rapha                    “พระเจ้าทรงเป็นแพทย์             อพย. 15  :26
6.4.10 Jehovah Yasha –Gaal พระเจ้าเป็นพระผู้ช่วย              อสย. 49  :26

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เทคนิคการอภิบาล 1:1


อ่าน: 393
ความเห็น: 0

เทคนิคการอภิบาล 1:1

เทคนิคการอภิบาล 1:1 เป็นการอภิบาลที่เกิดผลและมีประสิทธิภาพสูงสุด

เทคนิคการอภิบาล 1:1

คำนำ

            การอภิบาลแบบ  1:1  เป็นการอภิบาลที่เกิดผลและมีประสิทธิภาพสูงสุด  ที่ไม่สามารถนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาทดแทน  เพราะเป็นการถ่ายทอดชีวิตและคำสอนโดยตรง  จนหลักการทางพระคัมภีร์อันนี้  ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในระบบการขายที่เรียกว่า  "ระบบไดเร็กเซลล์"  กำลังเป็นระบบการขายที่มียอดการขายที่เกิดประสิทธิภาพ  และเพิ่มยอดการขายที่บริษัทเติบโตเป็นอย่างยิ่ง  ซึ่งในฐานะที่เราเป็นคริสเตียนเป็นเจ้าของหลักการแบบ 1:1  เรายิ่งต้องควรทำให้เกิดผลมากขึ้น  ในการขยายอาณาจักรของพระเจ้า

ความหมายของการอภิบาล 1:1

            การอภิบาล 1:1 หมายถึง การอภิบาลแบบเฉพาะเจาะจง เป็นการพบปะส่วนตัวเพียงตัวต่อตัวระหว่างผูอภิบาล (ผู้เลี้ยง)กับผู้รับการอภิบาล (แกะจุดประสงค์ก็เพื่อเสริมสร้างชีวิตแกะให้ไปสู่ความไพบูลย์ของพระเยซูคริสต์ ดังนั้นในการอภิบาล 1:1ผู้อภิบาลกับผู้รับการอภิบาลจึงจะต้องเป็นเพศเดียวกัน (ไม่อภิบาล 1:1 ข้ามเพศ)

ความสำคัญของการอภิบาลแบบ  1:1

1.      ทำให้ผู้รับการอภิบาลถูกช่วยเหลืออย่างแท้จริง
ก.    สามารถแบ่งปันชีวิตส่วนตัวได้อย่างเปิดเผย
ข.    สามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างทันเหตุการณ์
2.      ทำให้เกิดความผูกพันชีวิตด้วยกัน
ก.    มีความไว้วางใจ
ข.    มีความสนิทสนม
ค.    มีความเข้าใจกันและกัน
ง.     มีมิตรภาพของความเป็นเพื่อนและผู้นำฝ่ายวิญญาณอย่างสมดุล
3.      ทำให้สามารถสร้างชีวิตในการรับใช้ได้อย่างเกิดผล
ก.    สามารถตำหนิ , ตักเตือนลูกแกะ  ภายใต้ความสัมพันธ์ที่ดี
ข.    สามารถถ่อยทอดคำสอน  และคำแนะนำได้อย่างถูกต้อง
ค.    สามารถนำไปฝึกหัดภาพปฏิบัติได้อย่างใกล้ชิด

การบริหารเวลา 45 นาทีในการอภิบาล 1:1

ในการอภิบาล 1:1 แต่ละครั้ง  ควรใช้เวลาร่วมกันไม่น้อยกว่า 45 นาที/ครั้ง/สัปดาห์  และในแต่ละครั้ง  ควรประกอบด้วยกิจกรรมดังต่อไปนี้
          นาที                                 กิจกรรม         
         10                ผู้เลี้ยงและแกะแบ่งปันพระพรและประสบการณ์ใหม่สดที่ได้รับจากพระเจ้า  และ
                            ผู้เลี้ยงอธิษฐานนำการสอน
         20                สอน/แบ่งปันความคิด/แบ่งปันสิ่งที่ได้รับจากคำสอน
         15                สร้างสัมพันธ์ ไต่ถามทุกข์สุข ให้คำปรึกษา หนุนน้ำใจ/เตือนสติ อธิษฐานขอพระเจ้า
                            อวยพรการดำเนินชีวิตในสัปดาห์นี้
1.      การสอนพระคัมภีร์
·         สอนทุกเรื่องครบถ้วน  สอนสมดุลทุกด้าน
·         คำสอนในการอภิบาล 1:1  แต่ละครั้ง  มีความแตกต่างจากคำสอนกลุ่มดาวิด 
·         คำสอนในการอภิบาล 1:1 เน้นการพัฒนาชีวิต  เป็นคำสอนสั้นๆ เหมาะสมแก่เวลาประมาณ 20 นาที
·         เมื่อสอนจบ  ควรเปิดโอกาสให้แกะแสดงความคิดเห็น  แบ่งปันข้อคิดได้รับ (10นาที)
2.      การสร้างสัมพันธ์
·         ความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก แกะจะไม่กล้าหรือไม่อยากเปิดเผยชีวิตกับเรา หากเขาไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเรา 
·         ความสัมพันธ์ยังทำให้เราสามารถตักเตือนเขาได้เมื่อเขาทำผิด  บางครั้งแม้จะเตือนแรงสักเท่าใดแกะก็สามารถรับได้ เพราะความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทำให้เขายังคงมั่นใจในความรักที่เรามีให้แก่เขา 
·         ความสัมพันธ์ทำให้เขารับในสิ่งที่เราสอนได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีกำแพงใดๆ ขวางกั้น
·         ความสัมพันธ์ทำให้เกิดความไว้วางใจกัน                     
·         เราสามารถสร้างความสัมพันธ์กับแกะได้หลายทาง เช่น การเล่นกีฬาที่เขาชอบ ไปสันทนาการหรือทำงานอดิเรกร่วมกับเขา เช่น ซื้อของ เล่นดนตรี เป็นต้น
3.      การสนใจถามไถ่เรื่องส่วนตัวเพื่อทำความรู้จัก
·         การทำความรู้จักกับเขาทำให้เราสามารถดูแลเขาได้อย่างเหมาะสม ถูกต้อง ชัดเจน เช่น เมื่อเราจะเตือนเขาก็เตือนเขาได้ด้วยความเข้าใจไม่ใช่ด้วยการพิพากษา อีกทั้งทำให้เกิดน้ำหนักในคำพูดของเราอีกด้วย เพราะเขาสามารถมั่นใจได้ว่า เราตักเตือนเขาจากพื้นฐานที่รู้จักเขาเป็นอย่างดี    เป็นต้น 
·         การทำความรู้จักเขานั้น  จะต้องทำความรู้จักทั้งในส่วนดีและส่วนที่เขายังบกพร่องอยู่ เราต้องเรียนรู้จักเขาแม้แต่ความรู้สึกนึกคิดของเขา   (เมื่อไรที่เราสามารถเข้าไปอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเขาได้   ก็นับได้ว่าเรามีชัยชนะในการอภิบาลเขาไปครึ่งหนึ่งแล้ว)
·         แนวทางการอภิบาล1:1 ในการทำความรู้จักแกะ  ก็เพื่อที่เราจะสามารถใช้ประโยชน์หรือพัฒนาเขาในส่วนดีของเขา และแก้ไขส่วนที่ไม่ดีได้
·         สนใจไต่ถามความรู้สึกนึกคิดของเขาในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อจะรู้จักเขามากขึ้น  และเพื่อปรับมุมมองของเขาให้เข้าใกล้พระวจนะพระเจ้า
4.      การให้คำปรึกษา
·         มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปแม้จะรับการไถ่แล้วก็ตาม  เราก็ยังอยู่ในสภาพของความบาปอยู่ และในสภาพนี้เองทำให้ทุกคนมีปัญหาด้วยกันทั้งสิ้น  
·         ทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนเป็นคริสเตียน หรือปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจากที่เป็นคริสเตียนแล้ว  ทั้งที่เขารู้ตัวว่าเป็นปัญหาที่ต้องรับการแก้ไขหรือไม่รู้ตัว  ในสภาพนี้เองทำให้แกะทุกคนต้องการได้รับคำปรึกษา  โดยเฉพาะบางเรื่องที่เป็นเรื่องส่วนตัว ที่ไม่เหมาะสมที่จะให้คำปรึกษาในท่ามกลางคนหมู่มาก  การอภิบาล 1:1 จึงเป็นเวลาที่ดีในการให้คำปรึกษาแก่แกะได้
·         ผู้เลี้ยงจึงเป็นบุคคลสำคัญที่สุดต้องพร้อมอยู่เสมอในการให้คำปรึกษาแกะในทุกเวลา  และเมื่อให้คำปรึกษาแล้วแต่หากแกะยังไม่ได้รับการปลดปล่อยจากปัญหา   ผู้เลี้ยงไม่ควรปล่อยปละละเลย   ควรส่งขึ้นมาเป็นลำดับชั้นจนกว่าแกะจะได้รับการปลดปล่อยจากปัญหาอย่างแท้จริง
5.      การหนุนน้ำใจเตือนสติ
·         แกะทุกคนมีทั้งส่วนดีที่ต้องการรับการหนุนน้ำใจชมเชย      และส่วนที่ยังต้องรับการเตือนสติเพื่อจะปรับปรุงแก้ไข   เราจึงไม่ควรละเลยทั้งการหนุนน้ำใจแกะและการเตือนสติแกะ 
·         การหนุนน้ำใจจะเป็นสิ่งที่ให้กำลังใจ และทำให้แกะรู้ว่าเขากำลังทำในสิ่งดี    สิ่งที่เป็นพระพรและมีคุณค่า  สมควรได้รับการยกย่อง
·         ส่วนการเตือนสติจะเป็นการชี้ถูกชี้ผิดที่ทำให้เขารู้ว่าสิ่งใดหรือท่าทีใดถูก และสิ่งใดหรือท่าทีใดผิด  ทำให้เขารู้ว่าเขากำลังทำหรือคิดในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และต้องแก้ไขโดยด่วน  และเป็นการชี้ให้เขาเห็นว่าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจะทำให้เกิดผลร้ายต่อชีวิตของเขาและต่อคนที่เขารักอย่างไรบ้าง

ตัวอย่างเรื่องที่ใช้สอนในการอภิบาล 1:1    เช่น

1.     หมวดชีวิตกับพระเจ้า
1.        บาป  โทษของบาป  การกลับใจ  และพระกิตติคุณ
2.        ความมั่นใจในความรอด
3.        การเฝ้าเดี่ยว
4.        การศึกษาพระคัมภีร์ส่วนตัว
5.        การสารภาพบาป
6.        การเผชิญการทดลอง
7.        การเต็มล้มด้วยพระวิญญาณ
8.        การเชื่อฟังและการเรียงลำดับความสำคัญในชีวิตอย่างถูกต้อง
9.        การตีสอนจากพระเจ้า
10.    อุปนิสัยแบบชอบธรรม
11.    การแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้า

12.    การอารักขาและการถวาย
13.    การมีส่วนร่วมรับใช้ในคริสตจักร
2.     หมวดหลักข้อเชื่อ
1.      ตรีเอกานุภาพ
2.      ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์
3.      สิทธิอำนาจของพระคัมภีร์
4.      การบัพติศมาด้วยน้ำ
5.      ซาตาน  ผีวิญญาณชั่ว
6.      คริสตจักร
7.